Buddhadhamma Tepitaka Payasi V
Buddhadhamma Tepitaka Payasi V
popularity:0
  • Description

Buddhadhamma Tepitaka Payasi V

ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก

เรื่อง ปายาสิราชัญญสูตร (ตอนที่ 5)

เจ้าปายาสิไม่เชื่อนรกสรรค์ ไม่เชื่อผลกรรมดีกรรมชั่วว่ามีจริง

(ต่อจากตอนที่แล้ว)

สรุปบทสนทนาตอนที่ ๕

ท่านพระกุมารกัสสปะเถระถามว่า

ดูกร บพิตร เหตุที่ทำให้พระองค์ ไม่เชื่อว่าโลกนี้โลกหน้ามีอยู่ นรกสวรรค์มีอยู่จริง ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี ยังมีอยู่หรือ

มี ท่านกัสสปะ

ยืนยันความไม่เชื่อได้ไหม บพิตร

ได้ ท่านกัสสปะ

ขอให้ บพิตร ตรัสมาเถิด

พระคุณเจ้ากัสสปะ เจ้าหน้าที่ประจำเมืองของโยม จับโจรมาให้โยมลงโทษ โยมจึงสั่งไปว่า

ถ้าอย่างนั้น จงชั่งนำ้หนักของโจรคนนี้ไว้ แล้วเอาเชือกมัดจนขาดใจตาย แล้วชั่งดูอีกครั้งว่าน้ำหนักต่างกันอย่างไร

พวกเจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติคำสั่ง

โยมเห็นว่า ก่อนโจรตาย น้ำหนักเบา ตัวอ่อน ขยับตัวง่าย แต่พอตายแล้ว ร่างของโจรนั้น กลับหนัก แข็งทื่อ ขยับตัวไม่ได้ (ก็แสดงว่า ชีวิตหลังความตายไม่มี ถ้ามี หลังจากตายแล้ว ตัวก็ต้องเบาเพราะวิญญาณคือชีวิตออกจากร่างแล้ว แต่นี้ ไม่ใช่กลับหนักขึ้น)

โยมจึงเชื่อว่า นรกสวรรค์ไม่มีอยู่จริง บุญบาปไม่มีอยู่จริง

ดูกร บพิตร อาตมภาพขอยกอุปมาเปรียบเทียบ เพราะคนมีปัญญาจะเข้าใจได้ง่ายด้วยการเปรียบเทียบ

เปรียบเหมือนคนเอาตาชั่งชั่งก้อนเหล็กที่เผาไว้ตลอดทั้งวัน ไฟลุกโพลงตลอดเวลา ต่อมาเอาเหล็กทิ้งไว้จนเย็นสนิท เอาตาชั่งมาชั่งก้อนเหล็กนั้นอีกครั้ง เวลาไหนที่ก้อนเหล็กนั้นจะมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนกว่าและดัดง่ายกว่า ขณะที่เหล็กติดไฟลุกโพลงอยู่หรือว่าเมื่อเย็นสนิทแล้ว”

ท่านพระคุณเจ้ากัสสปะ ขณะที่ก้อนเหล็กนั้นมีไฟ มีลม ติดไฟลุกโพลงอยู่จะมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนกว่าและดัดได้ง่ายกว่า แต่เมื่อก้อนเหล็กนั้นไม่มีไฟ ไม่มีลม เย็นสนิทจะมีน้ำหนักมากกว่า แข็งกระด้างกว่าและดัดได้ยากกว่า

ดูกร บพิตร เช่นเดียวกันนั่นแหละ เมื่อร่างกายนี้ยังมีอายุ มีไออุ่นและมีวิญญาณ

จะมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนนุ่มกว่า และปรับตัวได้ง่ายกว่า แต่เมื่อร่างกายนี้ไม่มีอายุ

ไม่มีไออุ่นและไม่มีวิญญาณ จะมีน้ำหนักมากกว่า แข็งกระด้างกว่า และปรับตัวได้

ยากกว่า

ดูกร บพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำรัสของพระองค์แม้นี้แล จึงแสดงว่า

แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี

พระคุณเจ้ากัสสปะพูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าโลกนี้ โลกหน้ามี ผลของกรรมดีกรรมชั่วมี (นรกสวรรค์มี บุญบาปมี)

พระองค์มีวิธีพิสูจน์ความเชื่อของพระองค์ไหม

มี พระคุณเจ้ากัสสปะ

มีอย่างไรหรือ บพิตร

พระคุณเจ้ากัสสปะ พวกเจ้าหน้าที่ จับโจรร้ายมาให้โยมลงโทษ โยมจึงสั่งไปว่า

ให้พวกท่านฆ่าโจรนั้นเสีย แต่อย่าทำให้ผิว อย่าทำให้หนัง อย่าทำให้เอ็น อย่าทำให้กระดูกและเยื่อกระบอบช้ำ เผื่อบางทีเราจะได้เห็นวิญญาณของโจรออกจากร่างได้ แม้กระนั้น เมื่อโจรตายแล้ว ก็ไม่เห็นวิญญาณของโจรออกจากร่างเลย

โยมก็พิสูจน์ต่อไปอีก ด้วยการสั่งให้เจ้าหน้าที่พลิกร่างโจรให้นอนหงาย ก็ไม่เห็นวิญญาณโจร

สั่งเจ้าหน้าที่ให้ร่ายของโจรนอนคว่ำ นอนตะแคงทีละข้าง พยุงร่างให้ลุกขึ้น กดศรีษะลง เอามือทุบ เอาก้อนดินทุบ เอาไม้ทุบ เอามีดทุบ ลากไปมาซ้ำๆ เผื่อจะได้เห็นวิญญาณของโจร แม้ทำถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ยังไม่เห็นวิญญาณของโจรออกจากเลย ทั้งที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเขาก็ยังปกติอยู่ แต่เขาก็ไม่สามารถมองเห็นรูปได้ ได้ยินเสียง รู้กลิ่นได้ รู้รสได้ รู้โผฏฐัพพะได้ โยมจึงมั่นใจว่า โลกนี้โลกหน้าไม่มี ผลกรรมดีกรรมชั่วไม่มี(นรกสวรรค์ไม่มี บุญบาปไม่มี)

ดูกร บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับ

คนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายด้วยอุปมาเปรียบเทียบได้

เล่ามาว่า คนเป่าสังข์คนหนึ่งถือสังข์ไปปัจจันตชนบท(หมู่บ้านในชนบท) ยืนอยู่กลางหมู่บ้าน แล้วเป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง เป่าเสร็จก็วางสังข์ไว้ที่พื้นดิน คนป่าก็ทำธุรของตนไป

ทันทีที่เสียงสังข์ดังขึ้น ชาวบ้านก็แตกตื่น พูดกันทั่วไปว่า

ท่านทั้งหลาย ได้ยินเสียงนั้นไหม ฟังแล้วชื่นใจ นุ่มนวล เคลิ้มเคลิ้ม พริ้วไพเราะจัง’

แล้วพากันมารุมล้อมคนเป่าสังข์

ถามว่า พ่อคุณ นั่นเสียงอะไร ฟังแล้วชื่นใจ นุ่มนวล เคลิ้มเคลิ้ม พริ้วไพเราะจัง

คนเป่าสังข์ตอบว่า

ท่านทั้งหลาย นี้เป็นเสียงสังข์ ฟังแล้วชื่นใจ นุ่มนวล เคลิ้มเคลิ้ม พริ้ว ไพเราะ

ชาวบ้านเหล่านั้นอยากรู้ว่าเสียงนั้นมีตัวตนอย่างไร จึงจับสังข์นั้นให้หงายขึ้นแล้วสั่งว่า

พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์

สังข์นั้นก็ไม่ส่งเสียง พวกเขาจึงจับสังข์คว่ำหน้าลง … จับสังข์ตะแคงข้างทีละข้าง

… ยกสังข์ให้สูงขึ้น … วางสังข์ให้ต่ำลง … เอาฝ่ามือเคาะ … เอาก้อนดินเคาะ …. เอาท่อนไม้เคาะ … เอาอาวุธเคาะ … ลากมาลากไป ลากไปลากมา แล้วสั่งว่า

พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์

สังข์นั้นก็ไม่ส่งเสียง

คนเป่าสังข์คิดว่า

ชาวบ้านพวกนี้ช่างโง่เขลาจริง

ทำไมหนอ จึงหาเสียงสังข์กันอย่างนี้

ขณะที่ชาวบ้านเหล่านั้นกำลังมุงดูอยู่ เขาจึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่า ๓ ครั้งแล้วถือสังข์เดินออกไป

ชาวบ้านเหล่านั้น เห็นดังนั้น จึงพูดกันว่า

ท่านทั้งหลาย สังข์นี้ ตอนมีคนพยายามเป่าลมเข้าไป มันจึงส่งเสียงได้ ถ้าไม่มีคนพยายามเป่าลมเข้าไป สังข์ก็ไม่ส่งเสียง

ดูกรบพิตร เช่นเดียวกันนั่นแหละ เมื่อกายนี้ยังมีอายุ มีไออุ่นและมีวิญญาณ จึงก้าว

ไปได้ ถอยกลับได้ ยืนได้ นั่งได้ นอนได้ เห็นรูปทางตาได้ ฟังเสียงทางหูได้ ดมกลิ่นทางจมูกได้ ลิ้มรสทางลิ้นได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกายได้ รู้ธรรมารมณ์ทางใจได้

แต่เมื่อกายนี้ไม่มีอายุ ไม่มีไออุ่น และไม่มีวิญญาณ กายนี้จึงก้าวไปไม่ได้ ถอยกลับ

ไม่ได้ ยืนไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนไม่ได้ เห็นรูปทางตาไม่ได้ ฟังเสียงทางหูไม่ได้ ดมกลิ่น

ทางจมูกไม่ได้ ลิ้มรสทางลิ้นไม่ได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกายไม่ได้ หรือรู้ธรรมารมณ์ทางใจไม่ได้

ดูกรบพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำรัสของพระองค์แม้นี้แล จึงแสดงอย่างนี้ว่า

แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี

พระคุณเจ้ากัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีนั่นแหละ

ยังมีต่อ

อ้างอิง ข้อที่ ๔๒๓-๔๒๖

https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=10

You may also like...

Popular Articles...