
- Description
Buddhadhamma Tepitaka kusinarasutta – 12422, 8.02 PM
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง กุสินารสูตร
พระกรุณาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ขณะจะปรินิพพาน
หลังจากทรงฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ทรงพระบังคนหนักเป็นโลหิต(ถ่ายเป็นเลือด)อย่างหนัก แต่พระองค์ก็ประคองพระวรกายที่อ่อนแรง เหนื่อยล้านั้นด้วยพระหฤทัยอันผ่องใส (กายป่วยแต่ใจไม่ป่วย)มุ่งสู่ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป
ระหว่างทางเสด็จ มีใครมาถามปัญหา ถามข้อสงสัยของตน พระองค์ก็เมตตาตอบให้จนเขาเหล่านั้นเข้าใจธรรม มีความปลื้มใจในธรรม
ทรงพักเป็นระยะๆ เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี เป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่านป่าสาลวันของพวกเจ้ามัลละ เป็นทางเข้ากรุงกุสินารา แล้วเสด็จไปจนกระทั่งถึงพระราชอุทยาน ป่าสาลวัน เป็นป่าดอกสาละของกษัตริย์มัลละ
เป็นเวลาเย็น อากาศกำลังสบาย ต้นไม้ทุกต้นยืนสงบนิ่งเคารพพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
เสด็จถึงต้นสาละใหญ่คู่หนึ่ง
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ระหว่างต้นรังทั้งคู่ ในสาลวันของ
เจ้ามัลละ ซึ่งเป็นทางเข้ากรุงกุสินารา ในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน ณ ที่นั้นแล
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า
“ดูกรอานนท์ เธอช่วยตั้งเตียงระหว่างต้นสาละทั้งคู่หันด้าน
ศีรษะไปทางทิศเหนือ เราเหน็ดเหนื่อยจะนอนพัก”
ท่านพระอานนท์ทูลรับสนอง
พระดำรัสแล้วตั้งเตียงระหว่างต้นสาละทั้งคู่หันด้านพระเศียรไปทางทิศเหนือ
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท ทรงมีสติสัมปชัญญะ
เวลานั้น ต้นสาละทั้งคู่ผลิดอกนอกฤดูกาลบานสะพรั่งเต็มต้น ดอกสาละ
เหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายตกต้องพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต ดอกมณฑารพอันเป็นทิพย์ก็ร่วงหล่นจากอากาศโปรยปรายตกต้องพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต จุรณแห่งจันทน์กลิ่นหอมอันเป็นทิพย์ ปลิวพริ้วจากอากาศโปรยปรายตกต้องพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต เสียงดนตรีทิพย์ก็บรรเลงเบาๆแทรกซึมอยู่ในอากาศเพื่อบูชาพระตถาคต อีกทั้งสังคีตทิพย์ก็บรรเลงในอากาศเพื่อบูชาพระตถาคต
บัดนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า “ดูกรอานนท์
ต้นสาละทั้งคู่ผลิดอกนอกฤดูกาลบานสะพรั่งเต็มต้น ดอกสาละเหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายตกต้องสรีระของตถาคตเพื่อบูชาตถาคต ดอกมณฑารพอันเป็นทิพย์ก็ร่วงหล่นจากอากาศโปรยปรายตกต้องสรีระของตถาคตเพื่อบูชาตถาคต จุรณแห่งจันทน์อันเป็นทิพย์ก็ร่วงหล่นจากอากาศโปรยปรายตกต้องสรีระของตถาคตเพื่อบูชาตถาคต ดนตรีทิพย์ก็บรรเลงในอากาศเพื่อบูชาตถาคต ทั้งสังคีตทิพย์ก็บรรเลงในอากาศเพื่อบูชาตถาคต
ตถาคตจะชื่อว่าอันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อม ด้วยเครื่องสักการะเพียงเท่านี้ก็หาไม่ ผู้ใดไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตาม
ธรรมอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม ฉะนั้น ดูกรอานนท์ เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า ‘เราจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรมอยู่’ อานนท์ เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล”
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุแม้เพียงรูปเดียวพึงมีความสงสัยหรือเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทา (ข้อปฏิบัติ) เธอทั้งหลายจงถามเถิด อย่าได้มีความเดือดร้อนใจภายหลังว่า ‘พระศาสดาประทับอยู่ตรงหน้าของเราทั้งหลาย เราทั้งหลายยังไม่สามารถทูลถามพระผู้มีพระภาคต่อหน้าได้” (ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีใครสักรูปไหมที่สงสัยหรือคลางแคลงในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค หรือในข้อปฏิบัติให้บรรลุมรรค เธอทั้งหลายจงถามเถิด อย่าเกรงใจเลย ไม่อย่างนั้นแล้วจะเสียใจว่า เสียดายขนาดพระผู้มีพระภาคอยู่ตรงหน้าเราแท้ๆแต่ไม่กล้าถาม)
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุเหล่านั้นได้นิ่งเงียบ
แม้ครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า …
แม้ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุแม้เพียงรูปเดียวพึงมีความสงสัย หรือเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทา เธอทั้งหลายจงถามเถิดอย่าได้มีความเดือดร้อนใจภายหลังว่า ‘พระศาสดาประทับอยู่ตรงหน้าของเราทั้งหลายเราทั้งหลายก็ยังไม่สามารถทูลถามพระผู้มีพระภาคต่อหน้าได้”
แม้ครั้งที่ ๓ ภิกษุเหล่านั้นก็ยังพากันนิ่งอยู่
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลายเป็นได้ที่เธอทั้งหลายไม่ถามเพราะความเคารพในพระศาสดา แม้เพื่อนจงบอกแก่เพื่อนเถิด” (ดูกรภิกษุทั้งหลาย บางทีเธอทั้งหลายไม่กล้าถามเพราะความเคารพในพระศาสดา ถ้าอย่างนั้นจงให้เพื่อนถามให้เถิด)
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุเหล่านั้นได้นิ่งเงียบ
ลำดับนั้นท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ข้าพระองค์เลื่อมใส
ในพระภิกษุสงฆ์อย่างนี้ว่า ‘ในภิกษุสงฆ์นี้ ภิกษุแม้แต่รูปเดียวไม่มีความสงสัยหรือเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทา”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูการอานนท์ เธอกล่าวเพราะความเลื่อมใส ในเรื่องนี้ ตถาคตเองก็รู้เหมือนกันว่า ‘ในบรรดาภิกษุสงฆ์นี้ ภิกษุแม้แต่รูปเดียวไม่มีความสงสัยหรือเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือในปฏิปทา’
ดูกรอานนท์ ในบรรดาจำนวนภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ ภิกษุผู้มีคุณธรรมชั้นต่ำสุดเป็นโสดาบันไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิ(อริยมรรคอริยผลชั้นสูง)ในวันข้างหน้า”
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=21&A=2139