Buddhadhamma Tepitaka Carasutta - 11922, 11.22 AM
Buddhadhamma Tepitaka Carasutta – 11922, 11.22 AM
popularity:3
  • Description

Buddhadhamma Tepitaka Carasutta – 11922, 11.22 AM

ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก

เรื่อง จรสูตร

ความขี้เกียจจะดูถูกกิเลสว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย

ความคิดในชีวิตประจำวัน หากเราไม่เคยพิจารณา ก็จะไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา(แม้ความคิดว่าธรรมดาก็ไม่มี) ไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งรบกวนอะไร กลายเป็นว่า มันเป็นชีวิตเรา มันเป็นเรา มันคือเรา เราคือมัน ไม่มีอะไรที่จะต้องแยก ไม่มีอะไรที่จะต้องพิจารณา เพราะว่า “ความคิดคือเรา”

ความคิดเกิดขึ้นแก่เราตลอดเวลา ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ว่าไปแล้ว เราคือความคิด ความคิดพาทำอะไร เราก็ทำอย่างนั้น ไม่มีเวลาใดที่เราอยู่ปราศจากความคิด และไม่มีเวลาใดที่เราไม่ทำตามความคิด ดังนั้นความคิดจึงเป็นเหมือนธรรมดา แม้แต่ความรู้สึกว่า “ธรรมดา” เราก็ไม่เคยคิดด้วยซ้ำไป

ความคิดที่เป็นอันตราย มี ๓ ประการ คือ

๑. กามวิตก

คิดอยากได้

๒. พยาบาทวิตก

คิดแต่เรื่องร้ายๆ

๓. วิหิงสาวิตก

คิดเบียดเบียน

อธิบายธรรม

๑. กามวิตก

คิดอยากได้

ช่องทางที่ความรู้สึกอยากเกิดได้ มี ๕ ช่อง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย คำว่า “อยาก” แบบกามวิตก เป็นความอยากที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีปริมาณ ไม่มีความพอดี ไม่มีความเหมาะสม หากความอยากพัฒนาตัวมันเองขึ้นอีกระดับ ก็จะเป็นความอยากที่เป็นทิฏฐิ คือคิดผิด เพราะเราไม่เคยรู้ว่า “ความคิด” คืออะไร แม้ความรู้สึกว่า คนเราก็ต้องคิดเป็นธรรมดา แม้อย่างนี้เราก็ไม่เคยมีความรู้สึก เมื่อเป็นดังนี้ เราไม่มีทางรู้เลยว่า “คิดผิด” เป็นอย่างไร

หากความอยาก มี “มานะ”เกิดร่วมด้วย ก็จะกลายเป็นว่า เราเป็นผู้อยาก เราเป็นผู้คิด และสารพัดเรา ของเรา จะเกิดขึ้น

เราเหนื่อยเกิน เราลำบากเกิน ก็เพราะความอยากที่มันเกิดมากเกิน เกินที่กำลังกายจะสนองมันได้ เพราะกายมีขอบเขตของพลังงาน แต่ความอยากไม่มีขอบเขตของพลังงาน ความอยากมันหลอกเราว่า หากมีสิ่งนั้น สิ่งนี้แล้ว จะสบายอย่างนั้นอย่างนี้ มีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ทำตามความอยาก การทำตามความอยาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ยินดีในวิตกนั้น” เมื่อยินดีแล้ว เราก็จึงไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ขจัด ดังนั้น ปริมาณของความอยากจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีขอบเขต แต่กำลังของร่างกายมีขอบเขต นับวันที่เหลือของชีวิต ร่างกายก็อ่อนล้า แก่เฒ่าไปทุกขณะ แต่ความอยากกลับเพิ่มขึ้น

เพราะเราไม่เคยคิด จึงไม่กลัวอันตรายของความอยาก (ไม่มีโอตตัปปะ) เมื่อไม่กลัว จึงไม่มีความเพียรที่จะละ บรรเทา ขจัด

เป็นไปได้ยาก ที่จะไม่ให้ความอยากเกิดขึ้น หรือเป็นไปไม่ได้เลย

ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกให้เราใช้ความอยากด้วยหลัก “สันโดษ” คือการรู้ประมาณในการใช้ความอยาก “สันโดษ” นี้ พระองค์มุ่งเน้นมาที่ “กาย” ร่างกายมีพละกำลังจำกัด แต่ใจคือความอยากนี้ ไม่มีพลังจำกัด

ความรู้ พระพุทธเจ้าห้ามให้สันโดษ ต้องเพียรเพิ่มความรู้อยู่ตลอดเวลา แต่เวลาใช้ความรู้ต้องรู้วิธีใช้ จึงจะได้และได้อย่างมีความสุข ไม่มีอะไรที่สันโดษให้ไม่ได้ หากมีสันโดษ

ความรู้การปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา ห้ามใช้สันโดษ ต้องหมั่นเพิ่มตลอดเวลา เพราะธรรมนี้คือความสุข

เราจึงต้องใช้ปัญญา ตรวจสอบกำลังของตนเอง เรามีกำลังแค่ไหน ใช้กำลังได้ขนาดไหน หากเราทำอะไรตามกำลัง เราจะได้อะไรมากมาย ได้มากมายอย่างมีความสุข และได้กำลังเพิ่มด้วย ตัวอย่างเช่น รถกระบะ มีแรงและกำลังการขนสิ่งของเท่ารถกระบะ หากรถกระบะนั้น ใช้ความสามารถเท่าที่ตนมีขนสิ่งของเท่าที่ตนมีกำลัง มีการพักเหนื่อยตามความเหมาะสมเพราะมีปัญญาตรวจสอบว่าควรทำงานขนาดไหน ควรพักเมื่อไหร่ รถกระบะจะขนสิ่งของได้เรื่อยๆ สภาพรถไม่เสื่อมไว เมื่อบรรทุกเท่าที่กำลังมี ย่อมจะบรรทุกได้มากมาย หากรถกระบะนั้น ไม่รู้กำลังตนเอง อาจจะขนน้อยเกินไปก็ได้ ก็ไม่คุ้มกำลังอีก หากขนมากเกินไปเพราะอยากได้มาก อยากเสร็จไวๆ บางทีรถกระบะนั้นอาจจะเสียทันที ถึงไม่เสียทันที ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะแรงไม่ไหว

ชีวิตเราก็เช่นกัน หากความอยากไม่ถูกควบคุมด้วย “สันโดษ” เราจะเหนื่อยมาก มากเกินที่กายนี้จะทำไหว มีหนี้สินรอบทิศทาง ความอยากมันจะอ้างว่า “ต้องทำอันนั้น ต้องมีอันนี้ ต้องส่งเงินคนนั้นคนนี้ ต้องมีอุปกรณ์นั้นนี้ ” สารพัดที่ความอยากจะอ้าง เราก็ต้องทำตาม เพราะทิฏฐิคิดว่า ไม่ทำไม่ได้ เพราะคนเขามี สังคมเป็นอย่างนี้ เราก็เป็นไปตามสังคม ไม่อย่างนั้นจะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร

ความทุกข์(พยาบาทวิตก)ก็เกิดขึ้น

๒. พยาบาทวิตก

คิดแต่เรื่องร้ายๆ

ความอยากเกิดมากเกินเพราะไม่มีสันโดษคุม ความทุกข์ก็เกิดขึ้น เราจะเครียดมาก เพราะความอยากรุนแรง ความเครียด ความทุกข์ สารพัดเครียด สารพัดทุกข์ ล้วนเกิดจากความอยากอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อทุกข์เพราะปัญหาต่างๆแล้ว ก็เกิด วิหิงสาวิตก คิดเบียดเบียน คิดทำลาย คิดทำร้ายก็เกิด

๓. วิหิงสาวิตก

คิดเบียดเบียน

ปัญหาสังคมอันเกิดจากการเบียดเบียนกันมีมากมายเหลือเกินตอนนี้ ทั่วทุกระแหง เพราะแต่ละคนล้วนเติมเต็มความอยากไม่ทัน ไม่พอ เมื่อไม่เต็มไม่ทันไม่พอ ก็เครียดเป็นทุกข์รอบทิศทาง เมื่อความทุกข์เกิดขึ้น มักเบียดเบียนผู้อื่นส่ิงอื่นได้ง่าย เพราะจิตมันกลายเป็นความร้ายแล้ว

นอกจากเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว ก็เบียดเบียนตนเอง มีมากมายที่มีกามวิตก(อยาก) พยาวิตก (ไม่สมใจอยาก)แล้ว ก็มีวิหิงสาวิตก ทำร้ายตนเอง

นอกจากนั้น มีโรคกายมากมายอันเกิดจากความเครียดอีก

เราทะเลาะกัน เพราะอยากได้อย่างที่ตนอยาก(กามวิตก) เมื่อไม่ได้อย่างที่อยากก็เป็นทุกข์(พยาบาทวิตก) เมื่อทุกข์ก็ทะเลาะกัน เบียดเบียนกัน(วิหิงสาวิตก) ทั้งในระดับครอบครัว ระดับเพื่อน ระดับสังคม ระดับประเทศ

เพราะเรายินดีกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก คือเราไม่รู้สึกตัวเลย เราจึงไม่เห็นโทษอันเกิดจากความคิดเหล่านี้ ชีวิตของเราจึงหมักหมมแต่ปัญหาและความทุกข์มากมาย จนตายเราก็ยังไม่สามารถเติมความอยากให้เต็มได้เลย

และยิ่งไปกว่านั้น คิดแต่เรื่องเหล่านี้ จะบรรลุ “สัมโพธิญาณ” คืออริยมรรคอริยผลไม่ได้เลย

อ้างอิง

https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=21&siri=11

You may also like...

Popular Articles...