Buddhadhamma Tepitaka Bhaladayaka viman - 2522, 10.41 PM
Buddhadhamma Tepitaka Bhaladayaka viman – 2522, 10.41 PM
popularity:0
  • Description

Buddhadhamma Tepitaka Bhaladayaka viman – 2522, 10.41 PM

 

ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก

เรื่อง ผลทายกวิมาน

คนมีปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น จึงจะรู้ว่าอะไรดีที่สุด แล้วทิ้งสิ่งที่ดีน้อยกว่าได้

ครั้งเมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์

สมัยนั้น พระเจ้าพิมพิสารเกิดอยากจะเสวยผลมะม่วง ในเวลาที่มิใช่ฤดูมะม่วง จึงตรัสกับนายอารามบาล (เจ้าหน้าที่เฝ้าสวน)ว่า พนายเอ๋ย เราอยากกินผลมะม่วง มีมะม่วงสำหรับเราบ้างไหม?

เจ้าพนักงานกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ขณะนี้มะม่วงทั้งหลายยังไม่มีผล พระเจ้าข้า แต่ถ้าหากพระองค์จะโปรดรอคอยชั่วเวลาสักเล็กน้อย ข้าพระบาทก็จะทำให้มันออกผลให้ได้ ไม่นานเลย พระเจ้าข้า

ตรัสว่า ดีสิ พนาย ลงมือทำอย่างนั้นเลย นายอารามบาล (เจ้าหน้าที่เฝ้าสวน)ก็ไปสวน เอาดินละเอียดที่โคนต้นมะม่วงออกไปแล้ว เกลี่ยดินละเอียดคล้ายกันถมลงใหม่ รดน้ำ จนต้นมะม่วงสลัดใบ ผ่านไปสักระยะหนึ่ง ก็เอาดินละเอียดที่ถมลงนั้นออกไปอีก เกลี่ยดินละเอียดตามปกติ ผสมกับกากมะปรางแล้วใส่น้ำที่มีรสหวานผสมลงไป

ผ่านไปไม่กี่วัน ต้นมะม่วง ก็ออกช่อตามกิ่ง ตูม บาน ออกผล อ่อนแล้วแก่ตามลำดับ ในสวนมะม่วงนอกฤดูกาลนั้น มีอยู่ต้นหนึ่งแปลกกว่าต้นอื่นๆ มีผลมะม่วง ๔ ผล สุกก่อนผลอื่นๆ สีแดงเรื่อสวยงามดังผงชาด แถมมีกลิ่นหอมหวาน ชวนจินตนาการว่ารสมันต้องอร่อยแน่นอน

เจ้าหน้าที่สวนคนนั้น จึงเก็บผลมะม่วงพิเศษนั้น ตั้งใจจะไปถวายพระราชา ระหว่างทางเดินจากพระราชอุทยานไปพระราชวัง ก็พบท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระกำลังบิณฑบาตอยู่ จึงคิดว่า มะม่วงเหล่านี้เป็นผลไม้ชั้นยอด เราถวายพระผู้เป็นเจ้าดีกว่า ถึงแม้ว่าพระราชาจะทรงฆ่า หรือเนรเทศเราก็ช่างเถิด เพราะว่า เมื่อเราถวายพระราชา ก็จะได้ค่าจ้างเล็กน้อยเป็นเครื่องตอบแทนในปัจจุบันเท่านั้น แต่ถ้าหากเราถวายพระผู้เป็นเจ้าแล้ว จักมีผลไม่มีประมาณ ทั้งในปัจจุบันและทั้งภายหน้า

ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว ก็ถวายผลมะม่วงเหล่านั้นแก่พระเถระ หลังจากนั้นก็เข้าเฝ้า กราบทูลเรื่องนั้นถวายแด่พระราชา

พระราชา ยังไม่เชื่อ ดังนั้นแล้ว ทรงสั่งราชบุรุษว่า พนาย พวกเจ้าจงสอบสวนดูสิว่า เป็นจริงอย่างที่บุรุษผู้นี้กล่าวจริงไหม

ฝ่ายพระเถระนำผลมะม่วงเหล่านั้นน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทานมะม่วงนั้นแก่ท่านพระสารีบุตรผล ๑ ท่านพระมหาโมคคัลลานะผล ๑ ท่านพระมหากัสสปะผล ๑ พระองค์เสวยเองผล ๑

พวกราชบุรุษทราบเรื่องแล้ว จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา

พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงปลื้มพระทัยว่า บุรุษผู้นี้เป็นบัณฑิต ยอมสละชีวิตตน ขวนขวายแต่บุญ แม้ตนเองจะลำบากก็ไม่กลัว พระเจ้าพิมพิสาร ทรงเห็นความดีของบุรุษนั้นที่กล้าหาญบำเพ็ญบุญอย่างไม่กลัวตายแล้ว จึงพระราชทานบ้านส่วยตำบล ๑ และผ้าผ่อนเครื่องประดับเป็นต้นแก่เขาแล้วตรัสว่า พนาย เจ้าขวนขวายบุญด้วยการถวายผลมะม่วงเป็นทาน เจ้าจงให้ส่วนบุญจากทานนั้นแก่เราบ้างสิ

เขากราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระบาทขอถวาย โปรดทรงรับส่วนบุญตามความปรารถนาเถิด พระเจ้าข้า

ต่อมาพนักงานเฝ้าสวนก็ตายไปเกิดในเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์ วิมานทอง ๑๒ โยชน์ ประดับด้วยห้องรโหฐาน ๗๐๐ ก็บังเกิดแก่เขา

ท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวจาริกไปสวรรค์ดาวดึงส์พบเทพบุตรนั้นแล้วถามว่า

วิมานมีเสาทำด้วยแก้วมณีนี้สูงมาก วัดโดยรอบได้ ๑๒ โยชน์ เป็นปราสาท ๗๐๐ ยอด ดูโอฬาร มีเสาประดิษฐ์ด้วยแก้วไพฑูรย์ มีพื้นปูลาดด้วยแผ่นทองคำสวยงาม

ท่านสถิต ดื่ม กินอยู่ในวิมานนั้น มีทวยเทพพากันบรรเลงพิณทิพย์ดังไพเราะ และเทพกัญญา ๖๔,๐๐๐ นาง รูปร่างงาม ท่องเที่ยวไปมาอย่างสำราญในภพดาวดึงส์ มีสมบัติมากมาย เป็นผู้ชำนาญการฟ้อนรำขับร้อง พากันมาให้ความบันเทิงใจ

ท่านได้เทวฤทธิ์ มีอานุภาพมาก สมัยเมื่อท่านเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไรท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองและมีรัศมีกายสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้

เทพบุตรนั้นดีใจที่พระมหาโมคคัลลานเถระถาม จึงตอบปัญหาผลกรรมไปตามที่พระเถระถามว่า

ผู้มีใจเลื่อมใสเมื่อจะถวายทานในหมู่ภิกษุผู้ปฏิบัติตรง ได้ถวายผลไม้เป็นประจำ จึงได้รับผลบุญอันไพบูลย์ ผู้นั้นแหละไปสู่สวรรค์ชั้นไตรทศ และเสวยผลบุญอย่างไพบูลย์

ท่านมหามุนี ข้าพเจ้าก็อย่างนั้นเหมือนกันได้ถวายมะม่วง ๔ ผล เพราะเหตุนั้น มนุษย์ผู้ต้องการความสุข

ปรารถนาความสุขอันเป็นทิพย์ หรือปรารถนาความเป็นผู้มีส่วนดีงามในหมู่มนุษย์เป็นนิตย์ ควรถวายผลไม้เถิด

เพราะบุญนั้น วรรณะของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ข้าพเจ้า และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ข้าพเจ้า

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้ทำบุญใด เพราะบุญนั้น ข้าพเจ้าจึงมีอานุภาพมากอย่างนี้ และวรรณะของข้าพเจ้าจึงสว่างไสวไปทุกทิศ

อธิบายธรรม

คนส่วนใหญ่เห็นว่าความดีกินไม่ได้ จึงไม่ให้ความสำคัญ แต่การได้สิ่งตอบแทนเล็กน้อยเป็นสิ่งที่กินได้ สำคัญกว่า ยิ่งใหญ่กว่า เราไม่เห็นว่าความดีมีผลเป็นความดี แต่เราหลงผิดเอาความดีตีเป็นราคาเหมือนวัตถุสิ่งของ เมื่อความดีเป็นวัตถุ ราคาของความดีจึงมี แต่ความดีที่มีผลเป็นความดีนั้นไม่มีราคาเลย คนหลงผิดจึงสร้างวาทะกรรมว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”

เมื่อเราตีค่าความดีเป็นแค่วัตถุสิ่งของ เป็นลาภสักการะ เป็นชื่อเสียง เป็นยศศักดิ์ เราจึงทำอย่างไรก็ได้ที่จะได้ดีอย่างนี้ ในขณะที่เราต่างก็แข่งขันกันดีแบบนี้ ความทุกข์ก็เกิดแก่เราแก่สังคมแก่ประเทศชาติแก่โลกในระดับต่างๆ จากการตีค่าความดีผิดๆ สิ่งเล็กน้อยที่ได้จากตีค่าความดีผิด มันส่งผลเสียมากนัก เทียบสัดส่วนกันไม่ได้เลยระหว่างสิ่งที่ได้กับสิ่งที่เสีย สุขภาพกายก็เสียสุขภาพจิตก็เสีย ค่าใช้จ่ายที่ต้องรักษาทั้งกายและใจนั้นมากนัก แล้วก็ใช่ว่าจะรักษาได้เสมอไป

และยังส่งผลต่อถึงภพชาติต่อไป เสี่ยงต่อนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ชั้นต่ำ ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ก็แค่รูปแบบเท่านั้น

คนมีปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น จึงจะเห็นสายของธรรมชาติ คือเห็นธรรมชาติเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่คิดเอาเอง หรืออยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เอาเอง เมื่อเห็นธรรมชาติเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงกล้าทำความดีเพื่อความดี และความดีนั้นเองจะสร้างความสงบสุข มีวัตถุสิ่งของเหลือกินเหลือใช้

อ้างอิง

https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=26&siri=67

You may also like...

Popular Articles...