
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Cammasataka Jataka – 2122, 6.51 PM
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง จัมมสาฏกชาดก
ความมั่นใจตนเองเกินไป มันคือความโง่
มีเรื่องเล่าว่า มีปริพาชกนักบวชในศาสนาพราหมณ์ (ศาสนาฮินดู)ท่านหนึ่ง เอาหนังสัตว์ทำเป็นเครื่องนุ่งและเครื่องห่ม
วันหนึ่ง ปริพาชกนั้นออกจากอารามของปริพาชก เที่ยวภิกขา(บิณฑบาต)ในนครสาวัตถี ถึงที่แห่งหนึ่ง ที่พวกแพะกำลังชนกันอยู่ แพะตัวหนึ่ง เห็นปริพาชกนั้นเดินมา จึงย่อตัวลงเพื่อจะชนปริพาชกนั้น ส่วนปริพาชกท่านนั้น ก็ไม่หลีกเลี่ยงออกไปด้วยเข้าใจว่า แพะนี้กำลังแสดงความเคารพเรา ทันใดนั้น แพะตัวนั้นก็วิ่งพรวดมาอย่างรวดเร็ว ชนที่ขาอ่อนของปริพาชกนั้นอย่างแรง ท่านล้มลงทั้งยืน เพราะเหตุที่ ยกย่องแพะนั้นซึ่งมิใช่สัตบุรุษ เหตุการณ์นั้นได้เป็นที่เล่าลือกันไปทั่ว จนกระทั้งถึงวัดเชตวัน
พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเอาเรื่องนั้น มานั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า
อาวุโสทั้งหลาย จัมมสาฏกปริพาชกกระทำการยกย่องอสัตบุรุษ จึงถึงความพินาศ
ขณะที่พระภิกษุสงฆ์กำลังสนทนากันอยู่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เสด็จมา แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรกันหรือ
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ปริพาชกนี้ก็ได้ยกย่องอสัตบุรุษแล้วถึงความพินาศ(เหมือนกัน)ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพ่อค้าตระกูลหนึ่ง กระทำการค้าอยู่
ในกาลนั้น มีจัมมสาฏกปริพาชกผู้หนึ่งเที่ยวภิกขา (บิณฑบาต)ไปในนครพาราณสี ถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่พวกแพะกำลังชนกันอยู่ แพะตัวหนึ่งเห็นปริพาชกนั้นเดินมา จึงย่อตัวลงจะกระโดดชนให้ถนัด
ท่านปริพาชกเห็นแพะย่อตัว ก็ไม่หลีกหนีด้วยเข้าใจว่ามันทำความเคารพเรา แล้วคิดว่า ขนาดพวกมนุษย์มากมายนี้(ยังไม่รู้ว่าเราเป็นคนดี) แต่แพะตัวนี้ตัวเดียว ยังรู้จักคุณ(งามความดี)ของเรา จึงยืนประนมมือแต้อยู่ ว่า :-
แพะตัวนี้เป็นสัตว์มีท่าทางดี เป็นที่เจริญใจ และมีศีลน่ารักใคร่ เคารพยำเกรงพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติและมนต์ จัดว่าเป็นแพะประเสริฐ มียศศักดิ์
ขณะนั้น พ่อค้าผู้เป็นบัณฑิตนั่งอยู่ในตลาด รีบห้ามปริพาชกนั้น ว่า :-
ท่านพราหมณ์ ท่านอย่าได้ไว้วางใจสัตว์ ๔ เท้า เพียงแค่ได้เห็นมันครู่เดียว มันจะชนท่านให้ถนัด จึงย่อตัวลง
ขณะที่พ่อค้าผู้เป็นบัณฑิตกำลังพูดอยู่ยังไม่ขาดคำ ทันใดนั้น แพะก็วิ่งกระโจนมาอย่างฉับพลัน ชนเข้าที่ขาอ่อนปริพาชกผู้นั้น เขาล้มลงทั้งยืนทัน ณ ที่นั้นเอง เกิดเจ็บปวดทุกขเวทนามาก นอนบ่นเพ้อถึงความเจ็บปวดของตนอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสต่อว่า
กระดูกขาของพราหมณ์ก็หัก บริขารที่หาบก็พลัดตก สิ่งของของพราหมณ์ก็แตกกระจายหมด พราหมณ์ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ว่า ช่วยด้วย แพะชนพรหมจารี(ช่วยด้วยแพะชนคนดี)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กระดูกขาของปริพา-ชกนั้นหัก หาบบริขารก็พลัดตก
เมื่อปริพาชกนั้นกลิ้งไป ภัณฑะเครื่องอุปกรณ์ของพราหมณ์นั้นแม้ทั้งหมดแตกไป พราหมณ์นั้นยกมือทั้งสองขึ้น กล่าวกับคนที่ยืนล้อมอยู่ว่า ช่วยด้วย แพะชนพรหมจารีดังนี้ คร่ำครวญร้องไห้
ปริเทวนาการร่ำไรอยู่.
ปริพาชกพร่ำเพ้อว่า
ผู้ใดสรรเสริญยกย่องคนที่ไม่ควรบูชา ผู้นั้นจะถูกเขาห้ำหั่นนอนอยู่ เหมือนเราผู้มีปัญญาทรามถูกแพะชนเอาจนตายในวันนี้.
ปริพาชกนั้นคร่ำครวญอยู่ด้วยประการฉะนี้ จึงถึงความสิ้นชีวิตไป ณ ที่นั้นเอง
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
ปริพาชกชื่อจัมมสาฏกในครั้งนั้น ได้เป็น ปริพาชกชื่อจัมมสาฏกในบัดนี้
ส่วนพาณิชผู้บัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จากเรื่องนี้ สอนเราให้รู้ว่า
ความมั่นใจว่าตนเป็นคนดีเกินไปกลายเป็นความโง่
เพราะโง่
๑. เราจึงเอาความรู้ เอาความเก่งของตนวัดกับผู้อื่น
๒. เอาศีลเอาวินัยวัดตนกับผู้อื่น
เราจะหลงตนว่า เรารู้มาก เราเก่งมาก โต้ตอบโต้แย้งกับใครก็ได้ ต้องชนะเสมอ คิดแต่จะเอาชนะผู้อื่น คิดแต่จะเอาชนะคนโต้แย้ง มันจะทำให้เรามัวเมา หลงผิดคิดว่าเก่ง เป็นสิทธิที่จะแสดงอะไรก็ได้เพื่อความเข้าใจชัด เพื่อปกป้องตัวเอง การได้แสดงอะไรที่ปกป้องตัวเอง การแสดงอะไรที่เป็นของตัวเอง จะเข้าใจว่าเป็นความสง่างาม
หากเรารู้กาลเวลา รู้กาละเทศะ รู้คนที่ควรตอบโต้ รู้คนที่ควรตอบคำถาม จะทำให้การตอบออกไปของเราสง่างาม คนตอบน่าเคารพนับถือ คนตอบมีเกียรติ แต่หากไม่รู้กาละเทศะ ไม่รู้กาล ไม่รู้คน การตอบออกไปของเรา จะกลายเป็นการเหยียบย่ำเราเอง เรากลายเป็นตัวตลกที่น่ารังเกียจ
หากเอาศีลเอามรรยาทของเราไปเทียบกับคนอื่น ก็จะเกิดชนชั้น หลงผิดว่าตนดีกว่าผู้อื่น ก็จะเกิดการดูถูกผู้อื่น อย่างนักบวชท่านนี้ หลงคิดว่า คนพวกนี้ไม่รู้จักเราว่าเป็นดีมีศีล สู้แพะก็ไม่ได้เป็นสัตว์แท้ๆแต่กลับรู้จักเราว่าเป็นคนดีมีศีล จึงยกย่องคนที่คิดว่าเป็นคนดีเพราะเคารพเรา พนมมือรับไหว้แพะที่เป็นสัตว์ประเสริฐ แต่แล้วก็ต้องตายเพราะหลงตนว่าเป็นคนดี มีคนเคารพนับถือ
การแสดงอะไรออกไปเพื่อเป็นเครื่องหมายว่า เราเป็นคนดี เราจะมองเห็นแต่ความดีของตน มองเห็นผู้อื่นผิด แสดงอะไรต่อเราไม่เหมาะสม เราจึงต้องแสดงดีของเราออกไปเพื่อให้รู้ว่าคนดีคนเก่งเป็นอย่างนี้
คนที่เห็นแต่ความดีของตน จะเอาดีนั้นเป็นฐานวัดดีของผู้อื่น ใครที่แสดงความดีไม่ตรงกับความดีของตน ก็จะเข้าใจว่าเขาไม่ดี เพราะความดีไม่ตรงกัน
เมื่อใดที่เราเห็นรูปแบบของความดีในแบบของเรา เราก็จะหลงคิดเอาว่านั่นคือความดี นั่นเป็นคนดี เราจะชื่นชอบ ดั่งที่ท่านปริพพาชกแสดงรับความดีของแพะโดยไม่รู้ว่าแพะกำลังจะชน เราจะเห็นว่าคนหวังดีที่ตักเตือนเรา เป็นคนเลว คนโง่ คนไม่ดี จึงไม่ใส่ใจรับฟัง นอกจากไม่ใส่ใจแล้ว ยังโต้แย้งความดีความถูกต้องในแบบของตนอีก อย่างเช่น นักบวชท่านนี้ ถูกบัณฑิตอยู่ใกล้ๆตรงนั้นเตือนว่า อย่าทำอย่างนั้น แพะมันจะชนเอา แต่เพราะมั่นใจในความดีของตน มั่นใจว่าตนเป็นคนดี จึงต้องตายเพราะมั่นใจ
เรามักถูกความดีความเก่งหลอกล่อให้ยึดมั่นมัน พอยึดมั่น ความดีก็กลายเป็นดาบเฉือนตนเองทันที
การเป็นพหูสูต มีความรู้มาก การคิดว่าตนเป็นคนดีมาก หากไม่มีปัญญาใช้ความรู้ ไม่มีปัญญาในการวางตน เราจะกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจเพราะความรู้ กลายเป็นคนน่ารังเกียจเพราะความดี เพราะเราคิดว่าคนมีความรู้แสดงความรู้ย่อมไม่ผิด เพราะเราคิดว่าเราเป็นคนดี คนดีแสดงพฤติกรรมออกไปอย่างไรย่อมเป็นคนดีอยู่นั่นเอง แล้วความโง่จะย้ำตนอีกว่า “เราเป็นคนอย่างนี้ ตัวตนของเราเป็นอย่างนี้”
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=2942&Z=2954