
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Bahukarasutta Upakara
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง พหุการสูตร
หลักสำรวจว่าเราศรัทธาเลื่อมใสคนถูกหรือไม่
ดังนี้
๑. คนที่แนะนำให้เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริงๆ
๒. คนที่แนะนำให้เราเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาตามเหตุปัจจัย คืออริยสัจ ๔
๓. คนที่แนะนำให้เราเข้าใจการดับกิเลสทั้งแบบสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
หลักธรรม ๓ ประการนี้ ดูเหมือนไม่สำคัญอะไรสำหรับคนมากมาย เพราะคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด ได้ยินได้ฟังมานาน ได้ยินได้ฟังจนชินชาไปแล้ว แต่หากเราสำรวจตัวเองอย่างถ่องแท้แล้ว บางทีเราแทบไม่เคยมีหลักธรรม ๓ ประการนี้เลย ทำไมถึงกล่าวอย่างนั้น
เรามาสำรวจตัวเองดูว่า เรามีหลัก ๓ ประการนี้หรือไม่
๑. คนที่แนะนำให้เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริงๆ
เราเกิดในสังคมพุทธศาสนา เรารับพระรัตนตรัยและศีลบ่อยมาก มากจนนับเป็นครั้งไม่ได้ว่าเรากล่าวถึงพระรัตนตรัยและรับศีลมากี่ครั้งแล้วในชีวิตนี้ ผู้ที่ให้เรากล่าวรับพระรัตนตรัยก็มีมากมาย จนจำไม่ได้ว่ากี่คนมาแล้ว คนเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุ เป็นคฤหัสถ์ก็มีที่แนะนำเราให้รักษาศีล ก่อนรักษาศีลเราก็กล่าวถึงพระรัตนตรัยก่อน
เพราะความที่เรามองข้ามความสำคัญของการมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง เราก็มองข้ามความสำคัญของคนที่พาเราถึงพระรัตนตรัยไปด้วย
ปากของเรา กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันสูงสุด กล่าวถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งอันสูงสุด กล่าวถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันสูงสุดก็จริง แต่ใจของเราไม่เป็นอย่างที่ปากของเรากล่าว ใจของเราคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนวิเศษที่จะดลบันดาลให้เราได้อย่างที่เราขอ ส่วนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เราก็ฟัง แต่ฟังเอาบุญ ไม่ได้ฟังเพื่อปฏิบัติ พระสงฆ์เรากล่าวถึงว่าเป็นสรณะ แต่เราไม่เคยคิดว่า พระสงฆ์อริยะนั้น ท่านเป็นผู้ที่พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติ ด้วยการเอาตัวเองพิสูจน์จนเห็นจริงว่า พระธรรมนั้นจับต้อง สัมผัสได้ด้วยตัวเองจริงๆ ไม่ใช่เป็นคำพูดลอยๆ
เรามองพระพุทธเจ้าเป็นคนวิเศษคอยบันดาลให้เราสมประสงค์ เรานับถือพระพุทธเจ้าเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป ซึ่งความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้เราดับทุกข์ ดับขันธ์ห้า แต่เราก็ลดพระพุทธเจ้าลงเหลือแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นเพียงแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราก็เลยขออะไรก็ได้ที่เราอยากได้ แล้วเราก็ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกที่ทุกแห่ง อะไรก็ได้ที่ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เป็นอันว่าเราขอได้ทั้งนั้น จะได้อย่างที่ขอหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราได้ทำหน้าที่ของคนขี้ขอแล้ว เราชอบการต่อยอดขันธ์ห้า เราชอบการเกิดแก่เจ็บตาย เราชอบวัฏฏสงสาร เราจึงไม่เชื่อพระพุทธเจ้า
หากเราตั้งมั่นในพระรัตนตรัยแล้ว มีนิพพานการดับกิเลสเป็นเบื้องหน้าแล้ว เราจะขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือในบางอย่างก็ได้
จนขณะนี้ เรามองข้ามพระพุทธเจ้าไปแล้ว เรายอมทุ่มเทชีวิต เรายอมเหน็ดเหนื่อย เรายอมเสียเงินทรัพย์สินมากมาย เรายอมเสียเกียรติศักดิ์ เรายอมละเมิดศีลธรรม เพียงเพื่อให้ได้อย่างที่เราปรารถนา
เรามองข้ามพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้เราฝึกตนเอง เราคิดว่าการฝึกตนเองเพื่อให้ได้อย่างที่ปรารถนานั้น มันใช้เวลานาน เสียเวลานาน เหนื่อยด้วย สู้การขอไม่ได้ เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าที่สอนให้เราเชื่อมั่นในตัวเราเอง บันดาลให้ตนเองด้วยตนเองด้วยความรู้คือธรรมะ พระพุทธเจ้าสอนให้เราใช้ความเป็นมนุษย์ให้เต็มที่ แต่เราไม่ชอบการใช้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ของเราจึงหายไปเรื่อยๆ ความเป็นมนุษย์ของเราหายไป จนเราคุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้ เรามักเอาความพอใจของตนเองเป็นตัวตั้งในการคุยกัน เหตุผลที่เราพูดจึงเป็นเพียงแค่คำอธิบายความพอใจของตัวเองเท่านั้น ความพอใจจึงเป็นเพียงแค่ผลประโยชน์เท่านั้น
การกล่าวถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ของเรา จึงเป็นเพียงแค่ลมปาก เมื่อเราไม่เห็นคุณค่าของการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว เราก็ไม่เห็นคุณค่าของคนที่แนะนำเราให้ถึงพระรัตนตรัย
บุคคลประเภทที่ ๑ จึงไม่มีอุปการะอะไรเลยต่อเรา แต่คนที่เชื่อคนแนะนำ ผู้นั้นจะเป็นผู้มีอุปการมากแก่เรา
บุคคลประเภทที่ ๒ คนที่แนะนำให้เราเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาตามเหตุปัจจัย คืออริยสัจ ๔
คนที่ศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยแล้ว ก็จะเชื่อและตื่นเต้นกับการแก้ปัญหาแบบผลเหตุ แบบเหตุปัจจัย แก้ปัญหาแบบผลเหตุ คือเอาปัญหามาศึกษา(ทุกข์) แล้วสาวไปหาเหตุของมัน(สมุทัย) เมื่อเห็นเหตุก็เป็นอันจบ(นิโรธ) ลงมือปฏิบัติเพื่อให้จบ ดับเหตุนั้น (มรรค)
แก้ปัญหาแบบเหตุปัจจัย คือให้รู้ทันว่า ทุกสรรพสิ่งไม่จบแค่เป็นผล แต่ผลนั้นจะเป็นเหตุต่อไปอีก ไม่มีอะไรที่จบแล้วจบเลย มันจะมีปัจจัยต่อไปเรื่อยๆ เราจึงต้องใช้หลักอริยสัจ ๔ ต่อไปเรื่อยๆกับทุกเหตุปัจจัย
คนที่แนะนำเราให้เป็นคนที่ตั้งอยู่บนหลักอริยสัจได้ จึงเป็นคนที่มีบุญคุณต่อเรามากเป็นคนที่อุปการะต่อเรามาก เมื่อเราฝึกตนให้เป็นคนแบบอริยสัจแล้ว เราจะกลายเป็นคนที่มีความสุขอยู่เสมอ แม้มีปัญหา มีอุปสรรค มันก็เป็นเพียงแค่อริยสัจ ๔ เท่านั้น ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นผลเป็นเหตุ ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นปัจจัยต่อกันและกัน ไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์เลย มันเพียงแค่ปัจจัยเงื่อนไข แล้วเราก็กำหนดแบบอริยสัจ ก็จะเห็นมันตามความเป็นจริง ในขณะที่กำหนดปัญหา(ทุกข์)เพื่อหาต้นต่อแห่งปัญหา(สมุทัย) คนมีกิเลสอยู่อาจจะปวดหัวบ้าง เพราะสติเราน้อย จิตอาจหมกมุ่นอยู่แต่กับการคิด แต่อย่างน้อย เราก็เป็นคนที่ตั้งอยู่บนผลและเหตุ หรือเป็นคนที่ตั้งอยู่บนเหตุและผล
คนที่ฝึกตนเองแบบอริยสัจ จึงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบมาก เป็นคนที่ใช้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เป็นมนุษย์จริงๆ
คนที่แนะนำเราจนเข้าใจในหลักอริยสัจ ๔ เป็นคนที่มีบุญคุณต่อเรามาก เป็นคนมีอุปการะแก่เรามาก
บุคคลประเภทที่ ๓ คนที่แนะนำให้เราเข้าใจการดับกิเลสทั้งแบบสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
เพียงได้เพียรพยายามปฏิบัติตามคนที่แนะนำเราในเรื่องสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ก็ถือได้ว่าเราได้ประโยชน์มหาศาล เพราะบนโลกใบนี้ มีคนไม่กี่คนที่จะตั้งใจปฏิบัติเพื่อละกิเลส
หากเราไม่เลิก ไม่หยุดปฏิบัติ อย่างไรก็ต้องสัมผัสรสแห่งสมาธิและรสแห่งปัญญาแน่นอน มันไม่ใช่รสที่จะสัมผัสกันด้วยการพูดคุย ด้วยการอธิบาย ด้วยการอ่านหนังสือ ด้วยการฟัง แต่มันคือรสแห่งการปฏิบัติเพื่อให้สมาธิปัญญาเกิด คำว่า “ปฏิบัติ” คือสติ เมื่อตั้งสติไว้ถูกต้องแล้ว เจโตวิมุตติ (สมาธิพาพ้นกิเลส) ปัญญาวิมุตติ(ปัญญาพาพ้นกิเลส) ก็ค่อยๆเกิดขึ้น
ถึงแม้หากว่า เราปฏิบัติอยู่ ยังไม่พ้นกิเลส แต่อย่างน้อย สมาธิทำให้หลุดจากความเครียด ปัญญาทำให้ปล่อยวางได้
หากมีคนแนะนำเราอย่างดีดังกล่าวแล้ว ถือว่าเราเป็นคนโชคดีมาก เพราะมีพระรัตนตรัยเป็นสรณสูงสุด คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอันว่า เราเริ่มปูทางเพื่อดับขันธ์ห้า เราปูทางเพื่อบรรลุถึงนิพพานในวันข้างหน้าแล้ว หากเราไม่ศรัทธาในพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเชื่อหลักอริยสัจ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะมุ่งมั่นปฏิบัติสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานเพื่อดับกิเลส
เมื่อเราไม่ศรัทธาเลื่อมในพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์จริงๆแล้ว เราก็เป็นเพียงแค่นักทำบุญเพื่อต่อยอดขันธ์ห้าเพื่อบันเทิงในสวรรค์ชั้นต่างๆ เราก็ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อเป็นเทวดาที่ละเอียดคือชั้นพรหม เราก็ทำบุญเพื่อเสวยผลบุญด้วยการเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นราชามหากษัตริย์ เป็นคนชั้นสูงระดับต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนั้น ก็พานรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานให้เกิดได้ด้วยเช่นกัน แล้วก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ หาต้นปลายไม่มี
เพียงแค่ชาติหนึ่งนี้ กว่าเราจะหอบสังขารนี้ให้ผ่านพ้นไปจนถึงวันตายก็แสนทรมาน วันตายยิ่งทรมาน ไหนจะต้องหากินเพื่อให้ขันธ์ตั้งอยู่ ไหนจะต้องต่อสู้กับความเจ็บ ความแก่ ความตาย ไหนจะต้องต่อสู้เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ล้วนมีอุปสรรคทั้งนั้น
การได้คน ๓ ประเภทเป็นครูอาจารย์ (อาจจะเป็นคนเดียวกันก็ได้)เป็นคนแนะนำสั่งสอน จึงเป็นลาภอันประเสริฐมาก เพราะเราจะเป็นคนเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง เราจะตั้งมั่นอยู่ในหลักของเหตุผลเท่านั้น เราจะมุ่งมั่นเพื่อดับกิเลสเท่านั้น แม้ยังไม่สามารถดับกิเลสได้ เราก็ไม่ประมาท เราจะยิ่งทำบุญเพื่อให้เป็นพลังดับกิเลสเร็วยิ่งขึ้นเพราะเพียงแค่การได้ทำบุญบ่อยๆ กิเลสก็บรรเทาลงบ้างแล้ว อย่างน้อยความตระหนี่ เราจะยิ่งดำรงมั่นในหลักเหตุผล เชื่อมั่นหลักเหตุปัจจัย โดยมีนิพพานคือการดับกิเลสเป็นเป้าหมาย
หากเราได้คนแนะนำสั่งสอนตักเตือนอย่างนี้ แล้วเราก็เชื่อปฏิบัติตาม เรากำลังเดินทางถูกแล้ว เราเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว
หากเราเชื่อคนแนะนำอื่นจากนี้ แม้จะทำบุญมากมาย แม้จะทำกรรมฐานมากมาย แม้ได้ฌานอภิญญา (ยังไม่หมดกิเลส) ก็เป็นเพียงแค่การต่อยอดขันธ์ห้าต่อยอดวัฏฏสงสารให้ยาวออกไป ก็ไม่พ้นอบายภูมิอีก
ไม่มีอะไรเลยที่จะตอบแทนบุญคุณท่านเหล่านั้นได้ ไม่มีอะไรเลยที่จะตอบแทนอุปการคุณของท่านเหล่านั้นได้ นอกจากการเป็นอริยบุคคลเท่านั้นที่จะตอบแทนคุณท่านได้
แม้ยังมีกิเลสอยู่ การเป็นคนดีที่อยู่กิเลสเท่านั้น จึงจะเป็นเครื่องตอบแทนท่านเหล่านั้นได้
จงสร้างโอกาสที่ดีแก่ตนเองเถิด
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=20&siri=68