
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Suwanna Kakka taka Jataka
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง สุวรรณกักกฏกชาดก
ความรักเท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาได้
วันหนึ่ง มีกฎุมพีคนหนึ่งชาวเมืองสาวัตถีพาภรรยาไปชำระหนี้ที่ติดไว้กับเจ้าหนี้ในชนบทหนึ่ง หลังจากชำระหนี้แล้ว ก็เดินทางกลับบ้านในเมืองสาวัตถี ระหว่างทางกลับบ้านถูกพวกโจรปล้น แล้วจะฆ่าสามีทิ้ง ยึดภรรยาซึ่งหญิงรูปร่างสวยงามไว้
ขณะที่หัวหน้าโจร กำลังจะฆ่ากฎุมพีทิ้งอยู่นั้น นางผู้ภรรยานั้นเป็นสตรีมีศีล มีอาจารมารยาทงาม เคารพสามีประดุจเทวดา นางจึงหมอบลงแทบเท้าของหัวหน้าโจรอ้อนวอนว่า ข้าแต่นายโจรผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านมีความเสน่หาดิฉัน ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันเลย ถ้าท่านจักฆ่าเขา ดิฉันจักกินยาพิษหรือกลั้นลมหายใจตายทันที ดิฉันจะไม่ยอมไปกับท่านเด็ดขาด ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันผู้ไม่มีความผิดอะไรเลย ได้โปรดปล่อยสามีของดิฉันไปเถิด
มหาโจร แม้จะเหี้ยมโหด แต่พลังแห่งความดีของนาง อีกทั้งวาจาก็ไพเราะอ่อนโยนนอบน้อม ยอมสละชีวิตตนเพื่อให้สามีรอดพ้นจากอันตรายแห่งชีวิต จึงยอมปล่อยนางและสามีให้กลับบ้านไป
สามีภรรยาทั้งสองนั้นถึงเมืองสาวัตถีโดยปลอดภัย แล้วเดินมาด้านหลัง พระวิหารเชตวัน แวะเข้าไปยังพระวิหาร ดื่มน้ำดับกระหายแล้ว ปรึกษากันว่าจักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเข้าไปยังบริเวณพระคันธกุฎี ถวายบังคมพระองค์ แล้วนั่ง ณ ที่อันเหมาะสมแก่ตน พระพุทธเจ้าตรัสถามสามีภรรยาทั้งสองนั้นว่า ไปไหนมาหรือ
เขาทั้งสองจึงกราบทูลว่า ไปชำระหนี้สินมา พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ในระหว่างทาง ไม่มีอันตรายเกิดแก่พวกท่านหรือ?
กฎุมพีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในระหว่างทาง พวกโจรจับข้าพระองค์ทั้งสอง ในตอนนั้น ภรรยาของข้าพระองค์คนนี้ได้อ้อนวอนนายโจรผู้จะฆ่าข้าพระองค์ ให้ปล่อยตัวมา เพราะอาศัยภรรยาผู้นี้ ข้าพระองค์ได้รอดชีวิตมา
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น ที่สตรีผู้นี้ได้ให้ชีวิตแก่ท่าน ถึงในกาลก่อน ก็ได้ให้แม้แก่บัณฑิตทั้งหลายเหมือนกัน
กฎุมพีผู้นั้นกราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าเรื่องนั้นให้ฟัง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี มีหนองน้ำใหญ่มากอยู่ติดกับป่าหิมพานต์ มีปูทองตัวใหญ่อาศัยอยู่ หนองน้ำใหญ่นั้น จึงชื่อว่า “กุฬีรรหทะ” แปลว่า หนองปู เพราะปูทองตัวนั้นยึดครองอยู่ ปูทองนั้นใหญ่โตขนาดเท่าลานนวดข้าว จับช้างกินเป็นอาหาร บรรดาช้างทั้งหลายบริเวณนั้นไม่อาจลงห้วงน้ำหาอาหารกินได้ เพราะกลัวปูนั้น
ในกาลต่อมา พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในครรภ์นางช้างพัง มีช้างจ่าฝูงเป็นพ่อ มารดาของพระโพธิสัตว์นั้นคิดว่า จักรักษาครรภ์ไม่เกิดอันตราย จึงไปยังถิ่นภูเขาอื่นที่ปลอดภัยกว่า อยู่จนคลอดลูกช้าง ช้างพระโพธิสัตว์นั้นเติบโต รู้เดียงสาขึ้นโดยลำดับ มีบริวารมาก มีพละกำลังเรี่ยวแรงมาก เป็นช้างที่สง่างาม สูงใหญ่คล้ายกับภูเขาอันชัน พระโพธิสัตว์นั้นมีนางช้างพังเชือกหนึ่งเป็นภรรยา วันหนึ่งคิดว่าจักจับปูให้ได้ เพื่อให้เกิดความปลอดบริเวณป่านี้ จึงพาภรรยาและมารดาของตนเข้าฝูงช้างนั้น พบกับบิดาจึงกล่าวว่า พ่อ ฉันจักจับปู บิดาได้ห้ามเขาว่า เจ้าไม่สามารถจับมันได้หรอกลูก ช้างพระโพธิสัตว์จึงพูดกะบิดาซ้ำแล้วซ้ำอีก จนบิดาบอกว่า ตามใจเจ้าก็แล้วกัน ช้างพระโพธิสัตว์บอกว่า เดี๋ยวพ่อก็รู้ว่าฉันทำได้
พระโพธิสัตว์จึงเรียกประชุมช้างทั้งหมดที่อาศัยอยู่บริเวณห้วงน้ำกุฬีระ แล้วพากันเดินไปใกล้ห้วงน้ำพร้อมกับช้างทั้งปวงแล้วถามว่า ปูนั้นจับช้างในเวลาลงหนองน้ำ ในเวลาหาอาหารในหนองน้ำ หรือในเวลาขึ้นจากหนองน้ำ ช้างตอบว่า ปูทองจับช้างกินในเวลาขึ้นจากหนองน้ำ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ขอให้พวกท่านจงลงห้วงน้ำกุฬีระ หาอาหารกินจนเพียงพอแล้วขึ้นมาก่อน เราจักรั้งท้ายอยู่ข้างหลัง ช้างทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้น ขณะที่ช้างทั้งหลายพากันขึ้นจากหนองน้ำ ปูทองก็เอาก้ามทั้งคู่หนีบสองขาพระโพธิสัตว์ซึ่งรั้งท้ายอยู่หลังไว้แน่น เหมือนช่างทองเอาคีมใหญ่หนีบซี่เหล็กฉะนั้น
นางช้างผู้ภรรยาไม่ละทิ้งพระโพธิสัตว์ ได้ยืนอยู่ในที่ใกล้ๆ นั่นแหละ พระโพธิสัตว์พยายามดึงขาตนออก ก็ไม่อาจทำให้ปูเขยื้อนได้ แล้วปูลากช้างพระโพธิสัตว์มาให้ตรงปากตน พระโพธิสัตว์ถูกมรณภัยคุกคาม จึงร้องว่าติดก้ามปู ช้างทั้งปวงกลัวมรณภัย ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาทขี้เยี่ยวราดหนีไป
แม้นางช้างภรรยาก็ตกใจ คุมตนไม่ได้ทำท่าจะหนีเหมือนกัน
ทีนั้น พระโพธิสัตว์ได้แสดงให้นางรู้ว่าตนถูกหนีบอยู่ นางอย่าหนีไป จึงกล่าวว่า
ปูทองมีลูกตายาว มีหนังเป็นกระดูก อาศัยอยู่ในน้ำ ไม่มีขน ฉันถูกปูทองนั้นหนีบไว้แล้ว จึงร้องขอความช่วยเหลือ เจ้าอย่าทิ้งฉันผู้คู่ชีวิต รักเจ้าเสมอดังลมให้ใจฉัน
ลำดับนั้น ช้างพังนั้นจึงรีบกลับมา ปลอบโยนพระโพธิสัตว์ว่า
ข้าแต่เจ้า ดิฉันจักไม่ละทิ้งท่านผู้เป็นช้างทรงกำลังถึง ๖๐ ปี ท่านย่อมเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งของดิฉัน ยิ่งกว่าปฐพีอันมีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต
(เวลายุคสมัยนั้น ช้างตั้งแต่หนุ่มจะมีกำลังมากจนถึงประมาณอายุ ๖๐ ปี กำลังก็จะเสื่อมถอยลง นางช้างชมสามีตนว่ามีกำลังมากแข็งแรงมาก แล้วนางกล่าวว่า ดิฉันนั้นจักไม่ละทิ้งท่านผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังอย่างนี้ ผู้ถึงความพินาศ ท่านอย่ากลัว เพราะว่าท่านเป็นที่รักยิ่งของดิฉัน กว่าปฐพีนี้อันตั้งจรดมหาสมุทรในทิศทั้ง ๔ ชื่อว่ามีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นแดนสุด นางช้างพรรณนาว่า นางรักสามีมากยิ่งกว่าแผ่นดินใหญ่นี้ ยิ่งกว่ามหาสมุทร)
ครั้นนางช้างให้กำลังใจพระโพธิสัตว์แล้ว จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นเจ้า บัดนี้ ดิฉันขอสนทนาปราศรัยกับปูทองสักหน่อย จักให้ปูปล่อยท่าน
นางอ้อนวอนปูทอง ว่า
ปูเหล่าใด อยู่ในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำคงคาก็ดี ในแม่น้ำยมุนาก็ดี ท่านเป็นสัตว์น้ำผู้ประเสริฐกว่าปูเหล่านั้น ขอท่านจงปล่อยสามีของดิฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด
อธิบายคาถานั้น
ในบรรดาปูทั้งหลายในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำคงคาหรือยมุนาก็ดี ท่านเท่านั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าปูเหล่านั้นทั้งหมด ทั้งรูปร่างและอำนาจ ด้วยเหตุนั้น ดิฉันจึงขออ้อนวอนท่าน ขอท่านโปรดปล่อยสามีของดิฉันผู้กำลังร้องไห้อยู่เถิด
เมื่อนางช้างนั้นกำลังพูดอยู่นั้น ปูได้ยินเสียงผู้หญิง ใจเคลิบเคลิ้มในเสียงอันไพเราะนั้น จึงอ้าก้ามจากเท้าช้าง หาได้รู้อะไรบ้างว่า ช้างนี้ เราปล่อยแล้วจักกระทำชื่อสิ่งนี้(ไม่ได้คิดว่า หากคลายก้ามออกจากขาช้างแล้ว จะถูกเหยียบหรือเปล่า)
ทันใดนั้น ช้างจึงยกเท้าเหยียบหลังกระดองปูอย่างแรง จนพังทลายไปในทันทีนั่นเอง ช้างร้องขึ้นด้วยความยินดี เหล่าช้างทั้งหลายจึงเอาปูไปวางบนบก กระทืบให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก้ามทั้งสองของปูนั้นแตกออกจากร่างกระเด็นออกไป
หนองน้ำที่ปูอาศัยอยู่นั้น ติดเป็นอันเดียวกันกับแม่น้ำคงคา เมื่อแม่น้ำคงคาเต็ม หนองน้ำนั้นก็เต็มน้ำด้วย เมื่อน้ำในแม่น้ำคงคาลดลง น้ำหนองน้ำนั้นก็พลอยมีน้ำลดลงไปด้วย
ก้ามปูทั้งสองนั้นก็ลอยไปในแม่น้ำคงคา ก้ามหนึ่งลอยเข้าไปถึงมหาสมุทร พระราชาพี่น้อง ๑๐ องค์ กำลังเล่นน้ำอยู่เห็นดังนั้น จึงเอาก้ามนั้นกระทำตะโพนชื่อว่า”อณิกมุทิงคะ” ส่วนอีกก้ามหนึ่ง ลอยไปถึงมหาสมุทรอีกแห่งหนึ่ง พวกอสูรเอาไปกระทำเป็นกลองชื่อ”อฬัมพรเภรี” ในกาลต่อมา พวกอสูรเหล่านั้นรบแพ้ท้าวสักกะในสงคราม จึงทิ้ง”อฬัมพรเภรี”นั้น หลบหนีไป
แล้วท้าวสักกะสั่งให้ยึดเอา”อฬัมพรเภรี”นั้นมาใช้ประโยชน์ส่วนพระองค์ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า กลอง”อฬัมพะระ” มีเสียงดังกระหึ่ม เหมือนฟ้าร้อง ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ต่อ ในเวลาจบอริยสัจจะ สามีภรรยาทั้งสองก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
ทรงสรุปชาดกว่า
ช้างพังในกาลนั้น ได้เป็น อุบาสิกาผู้นี้
ส่วนช้าง คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.
อธิบายธรรมเพิ่ม
ความรักของสามีภรรยา เป็นพลังสร้างโลก ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เกินเลย แต่หากเราเพ่งมองแล้ว ก็ไม่น่าจะเกินเลยนัก
แม้ไม่มีลูกด้วยกัน หากรักกันเหมือนสามีภรรยานี้ หรือเหมือนช้างสามีภรรยาแล้ว จะทำให้บ้านของเราอบอุ่น แต่บ้านของเรามักร้อน เพราะเราส่วนใหญ่ เราต้องการความรักจากคนที่เรารักมากกว่า มากกว่าที่เราจะมอบรักของเราให้แก่คนที่เรารัก
คำพูดว่า รักคุณเท่าฟ้า รักคุณเท่าแผ่นดิน ดูแล้วก็เหมือนรักจริง แต่เพ่งมองลึกๆแล้ว เหมือนรักของเรานั้นต้องการเขามากกว่า ต้องการเขามากเท่าฟ้าเท่าแผ่นดิน
ตอนเริ่มรัก มักอธิบายว่า รักคือการให้ รักกันใหม่ๆ เรายอมให้ได้จริงๆ อะไรก็ได้ที่เขาหรือเธอขอ (ส่วนใหญ่ฝ่ายผู้จะเป็นฝ่ายให้) การให้แก่กันและกันนี้เอง เป็นตัวยืดหยุ่นให้เรารักกันลึกยิ่งขึ้น หากเรารักษาความรักคือการให้นี้ไว้ได้จนล่วงเลยถึงบั้นปลายชีวิต คุณค่าของความเป็นสามีภรรยาจะมากกว่านั้น เหมือนชีวิตเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากใครมีอันเป็นไปก่อน คนที่อยู่ข้างหลัง เหมือนขาดทุกอย่างของชีวิต โดยเฉพาะเหมือนขาดใจ
เมื่อเราช่วยกันให้ความรักแก่กันและกัน กลายเป็นความรักเป็นความสุขที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นการช่วยกันพยุงชีวิตคู่ให้เดินทางไปถึงวันสุดท้ายของชีวิต แต่ระหว่างทางที่เดินไปสู่วันสุดท้ายของชีวิต มีปัญหาเยอะเหลือเกิน จนเราเผลอเห็นแก่ตัว กลายเป็นคนอยากได้รักมากกว่า ที่จะให้รักแก่คนรัก เมื่อเผลอเห็นแก่ตัวบ่อยๆ จากเห็นแก่ตัวเล็กน้อยก็กลายเป็นเห็นแก่ตัวใหญ่
เมื่อเราไม่ได้ดั่งใจ ก็จะหงุดหงิด เบื่อหน่าย จิตของเราเกิดครั้งละดวง เมื่อจิตโกรธ(ที่ไม่ได้ดั่งใจ)เกิด จิตหงุดหงิดเกิด จิตเบื่อเกิด จิตที่รักก็เกิดไม่ได้ จิตที่รักไม่มีโอกาสเกิด แต่ละนาทีของชีวิตเราปล่อยให้จิตตัวไหนเกิดบ่อย จิตนั้นก็ยึดพื้นของชีวิตไป
จิตที่เห็นแก่ตัวไร้รักเกิดบ่อย ต่อไปอะไรนิดอะไรหน่อยก็ทะเลาะกัน มีปัญหามากมายที่คอยจะเกิดจากจิตตัวนี้
ยามมีปัญหาระหว่างสามีภรรยา เหตุผลที่ยกขึ้นอธิบายเพื่อแก้ปัญหานั้นมันเป็นเชื้อเพลิงที่ร้ายแรง และเหตุผลนั้นก็กลายเป็นไฟเย็นได้ด้วย คือจำใจฝืนใจยอมรับขณะนั้นเท่านั้น แต่พร้อมที่เกิดไฟอีกเสมอ
หากเราย้อนระลึกถึงวันที่เรารักกันแรกๆ เรายอมกันได้ เรายอมกันทุกเรื่องได้ แต่วันนี้เรายอมกันไม่ได้ เราให้ความรักแก่กันและกันไม่ได้ เพราะจิตเห็นแก่ตัวยึดพื้นที่ความรักแทน
ความรักเท่านั้นที่จะดับปัญหาได้ และไม่ก่อปัญหาในความรัก หากเรารักคนรักของเรา ก่อนทำอะไรก็เกรงใจ เกรงกระทบคนรัก หากผิดพลาด พลั้งไปมีปัญหาก็ยอมรับเพื่อระมัดระวังแก้ไขต่อไป
ความรักของเรา อาจจะแสดงออกในรูปของเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อาจจะแสดงออกในรูปของความซื่อสัตย์ อดทน อดกลั้น ให้อภัยไม่ถือโกรธ
ความรักระหว่างสามีภรรยาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ หากเรามอบความรักให้แก่กันและกันด้วยจิตงามๆ ความรักนี้จะพาให้เรามีศีลโดยปริยาย เมื่อมีศีลแล้วจะพาเรามีธรรมะโดยปริยาย แม้มีธรรมะไม่ลึกซึ้ง อย่างน้อยเราครองรักด้วยความรู้
สามีภรรยารักกันจริงๆดังกล่าว ลูกจะเป็นปฏิมากรรมที่งดงามที่พ่อแม่ปั้นขึ้นมา สังคมครอบครัวงาม สังคมโลกก็งาม
ความรักที่งามนี้เอง กลายเป็นศีล เป็นธรรม วาจาของคนดีมีรักแท้นี้ จะไพเราะ ไม่เสแสร้งพูด ไม่ดัดจริตพูด จึงกลายเป็นคำพูดที่ไพเราะ
ความงามความไพเราะของคำพูดนี้ เป็นพลังคลายปัญหา เป็นพลังคลายความโหดร้าย เป็นพลังคลายความดึงเครียด
คนไม่สมประกอบบางคน เป็นคนดี เสียงดีเสียงเพราะ เพียงแค่ร้องเพลง คนฟังจะเกิดความรู้สึกอย่างเดียวกันขึ้นมาทันที คือน้ำตาไหล จิตอ่อนโยน เกิดความรักในคนร้องเพลงนั้นทันที
ความรักของสามีภรรยาคู่นี้ ความรักของพญาช้างกับนางช้างเป็นความรักที่สวยงามยิ่งนัก เดินตามทางรักนี้ จะปลอดภัย
ส่วนเจ้ากรรมนายเวรเกิดมาเป็นสามีภรรยากัน เกิดมาเป็นครอบครัวกัน คำอธิบายทั้งหมดข้างต้นนี้ ไม่ครอบคลุม
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=400