
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Thitisutta
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง ฐิติสูตร
ความเจริญที่อยู่กับที่คือความเสื่อม
ธรรมะที่เจริญนี้ คือ
๑. ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณ ที่สมบูรณ์ แต่ขณะนี้ไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้นกว่าเดิม เรียกว่า “เสื่อม”
๒. ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณ ที่สมบูรณ์ ขณะนี้คงที่ ไม่เสื่อมลง แต่ไม่เจริญขึ้นกว่าเดิม เรียกว่า “คงเดิม”
๓. ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณ ที่สมบูรณ์ ขณะนี้ไม่คงอยู่กับที่ ไม่เสื่อมลง เรียกว่า “ความเจริญ”
วิธีสร้างความเจริญแห่งจิตของตน
ต้องหมั่นมองดูตนเองด้วยวิธีดังนี้ คือ
๑. เรามีอภิชฌา อยากได้ด้วยโลภะ หรือเปล่า
๒. เรามีจิตพยาบาท โกรธ อยู่หรือเปล่า
๓. เราเซื่องซึม ท้อแท้ เหนื่อยหน่ายอยู่เปล่า
๔. เราฟุ้งซ่าน ไม่มั่นคงอยู่หรือเปล่า
๕. เรายังสงสัยในพระรัตนตรัยอยู่เปล่า
๖. เราขี้โกรธ ขี้หงุดหงิดอยู่หรือเปล่า
๗. เรามีจิตหม่นหมอง เศร้าหมอง หรือเศร้าลึกๆในใจอยู่หรือเปล่า
๘. เรามีกายอึดอัดกระสับกระส่ายอยู่หรือเปล่า
๙. เราเกียจคร้านอยู่หรือเปล่า
๑๐. เรามีจิตไม่เป็นสมาธิอยู่หรือเปล่า
หากจิตของเราเป็นอกุศลดังกล่าว ให้รีบกำจัดทันที ให้เห็นความน่ารังเกียจ เหมือนหนุ่มสาวที่รักความสะอาดเพียงส่องหน้าตนในกระจก เห็นจุดเล็กๆบนใบหน้าก็อึดอัดใจ รีบกำจัดออกทันที ด้วยวิธีการที่จะทำให้หน้าผ่องใส งามผ่องอยู่เสมอ เมื่อกำจัดสิ่งไม่งามบนใบหน้าได้ ก็เบิกบานแจ่มใส
หรือให้เห็นกิเลสเหล่านั้นเหมือนไฟไหม้เสื้อผ้าหรือไหม้บนศรีษะเรา หากปล่อยไว้นานเสื้อผ้าก็หมด ศรีษะก็เกิดแผลพุพอง รักษายากกว่าจะหาย
หากเรามีสติสัมปชัญญะเห็นกิเลสน่ารังเกียจน่ากลัว น่าขยะแขยง เร่าร้อน เผาไหม้ก่อความเสียหาย เราจะเกิดฉันทะมีความมุ่งมั่นแรงกล้าเต็มที่ เพียรเต็มที่ อุตสาหะเต็มที่ ขะมักเขม้นเต็มที่ ไม่ท้อถอย ไม่ย่อท้อแม้แต่นิดเดียว เพื่อกำจัดจิตสกปรกน่ากลัวเหล่านั้น เพราะเกรงเกิดความเสียหาย
กำจัดด้วยสมถกรรมฐานบ้าง วิปัสสนากรรมฐานบ้าง ด้วยทาน ศีล ภาวนาบ้าง หรือตามดูความสกปรกแห่งจิตเหล่านั้นด้วยสติสัมปชัญญะ จิตเหล่านั้นก็จะค่อยๆดับไป
หากเราไม่ฝึก ไม่หมั่น ไม่พยายามมองตนเองอย่างนี้ ธรรมะอันดีงามของเรา คือศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณที่มีอยู่ มีอยู่มากแค่ไหนก็ตาม อย่างไรก็จะเสื่อมลง หรือขยันบ้างเกียจคร้านบ้าง ธรรมเหล่านั้นก็พอจะยังอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็จะเสื่อมลงแน่นอน
หากเราไม่ฝึกมองตนเอง ภาวะของจิต ๑๐ ประการข้างต้น จะกลายเป็นเจ้าชีวิต ครองชีวิตเรา พาเราทำอะไรที่ก่อแต่ปัญหา เป็นทุกข์ร่ำไปไร้ที่สุดสิ้น
หากไร้สติสัมปชัญญะ ก็จะเกิดความประมาทเลินเล่อ ดูถูกจิตเหล่านี้ว่าเป็นธรรมดา กลายเป็นหนุ่มสาวสกปรก กลายเป็นคนเห็นไฟไหม้เสื้อผ้า ไหม้ศรีษะว่าเป็นไฟเล็กน้อยไม่อันตราย
คนที่ประมาท แม้มีความรู้ มีคุณธรรมคือศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณ ชีวิตก็จะเสื่อม เพราะความรู้และคุณธรรมนั้นจะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ หรือความรู้มีเท่าเดิม ขณะที่โลกพุ่งไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง ความรู้เดิมๆก็จะล้าหลังทันที ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต ความประสบความสำเร็จของชีวิตขณะนี้ หากประมาทคิดว่าดีแล้วอย่างนี้ เพียงคิดแค่นี้ก็เสื่อมแล้ว ถอยแล้ว เพราะโลกพุ่งไปข้างหน้าเร็วมาก
คนหลงธรรมะ ก็เอาธรรมะมาอธิบายรูปแบบกิเลสของตัวเอง เหมือนคนมีธรรมะ ปฏิเสธความทันสมัยของวัตถุ ปฏิเสธความเจริญของวัตถุ ปฏิเสธความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีว่าขวางธรรมะ บางคนทำตัวเป็นคนเมื่อวาน อยู่กับกาลเวลาเก่าๆ ว่ามีความสุขดี แต่เข้ากับสมัยนี้ยาก ปฏิเสธปัจจุบันว่าไม่ดีไร้สาระ ทั้งที่อยู่กับอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยเครื่องใช้สอยรอบกาย ยารักษาโรค ล้วนเป็นปัจจุบัน แต่ถูกจิตหลอกให้เอาจินตนาการในอดีตมาหล่อเลี้ยงชีวิต
คนมีธรรมะคือคนทันสมัย “อกาลิโก” เป็นปัจจุบันเสมอ นอกจากทันสมัยแล้ว ธรรมะนำหน้าโลกเสมอ ธรรมะที่ถูกต้อง ต้องเป็นธรรมะที่เจริญอยู่เสมอ
มี ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และปฏิภาณแล้ว ไม่มีสติสัมปชัญญะ ธรรมะเหล่านี้ก็เสื่อม ขยันบ้างขี้เกียจบ้าง อย่างมากก็รักษาธรรมะไว้ได้ แต่ไม่เจริญ คนมีสติสัมปชัญญะตื่นตื่นอยู่เสมอเท่านั้น ธรรมะจึงจะเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งขึ้น
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=24&siri=51