
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Payasi iv
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง ปายาสิราชัญญสูตร (ตอนที่ 4)
เจ้าปายาสิไม่เชื่อนรกสรรค์ ไม่เชื่อผลกรรมดีกรรมชั่วว่ามีจริง
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
สรุปบทสนทนา
ท่านพระกุมารกัสสปะเถระถามว่า
บพิตร เหตุที่ทำให้พระองค์ ไม่เชื่อว่าโลกนี้โลกหน้ามีอยู่ นรกสวรรค์มีอยู่จริง ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี ยังมีอยู่หรือ
มี ท่านกัสสปะ
ยืนยันความไม่เชื่อได้ไหม
ได้ ท่านกัสสปะ
ขอให้บพิตรตรัสมาเถิด
ท่านกัสสปะ
โยมเห็นสมณพราหมณ์เป็นคนดีมีศีล มีกัลยาณธรรม ยังไม่อยากตาย อยากมีชีวิตอยู่ รักสุขเกลียดทุกข์ โยมจึงคิดว่า ถ้าสมณพราหมณ์รู้ว่าผลกรรมดีมีอยู่จริง ก็ต้องรีบตายด้วยการดื่มยาพิษ ใช้อาวุธฆ่าตัวตาย ผูกคอตาย เพื่อที่จะได้ไปเสวยผลของกรรมดี แต่เพราะท่านเหล่านั้น ไม่รู้ว่าผลของกรรมดีมีอยู่จริง จึงไม่อยากตายไปเสวยผลของกรรมดีนั้น
ด้วยเหตุนี้ โยม จึงเชื่อว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
บพิตร อาตมภาพขอยกอุปมาเปรียบเทียบ เพราะคนมีปัญญาจะเข้าใจได้ดีด้วยการเปรียบเทียบ
บพิตร มีพราหมณ์คนหนึ่ง มีภรรยา 2 คน ภรรยาคนหนึ่งมีบุตรกำลังจะเป็นวัยรุ่น อายุประมาณ 10-12 ปี ส่วนภรรยาอีกคน กำลังมีท้องแก่จะคลอด แต่พราหมณ์นั้น กลับตายไปอย่างกระทันหัน
เมื่อพ่อตายแล้ว บุตรนั้น จึงพูดกับแม่เลี้ยงว่า แม่ต้องยกสมบัติอันเป็นของพ่อทั้งหมดให้ผม
แม่เลี้ยงกล่าวว่า เอาไว้ก่อน เดี๋ยวแม่ก็คลอดน้องแล้ว หากน้องเป็นผู้ชาย ก็จะแบ่งทรัพย์กันคนละครึ่ง หากน้องเป็นผู้หญิง ก็ยกน้องสาวให้เป็นภรรยาของเจ้าเลย
เด็กหนุ่มพูดกับแม่เลี้ยง ถึง 3 ครั้ง แม่ก็ยืนยันคำเดิม แต่เด็กหนุ่มไม่ยอม แม่เลี้ยงจึงเข้าห้องเอามีดผ่าท้องของตนเองเพื่อจะได้รู้ว่าลูกในท้องเป็นชายหรือหญิง จะได้จัดการเรื่องทรัพย์ให้เสร็จซะ แต่แล้ว หญิงแม่เลี้ยงก็ต้องตายไป พร้อมเด็กในท้องและสูญเสียทรัพย์ทั้งสิ้นไปด้วย เพราะนางโง่เขลา
บพิตร แต่สมณพราหมณ์ผู้เป็นคนดีมีศีล มีกัลยาณธรรม เป็นคนฉลาด ย่อมจะไม่บ่มผลที่ยังไม่สุกให้รีบสุก ท่านรอให้ผลสุกเอง อันชีวิตของสมณพราหมณ์ผู้มีศีล
มีกัลยาณธรรม แปลกกว่าคนทั่วไป คือว่า สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม
มีชีวิตอยู่นานเท่าใด ท่านก็ได้บำเพ็ญบุญมากเท่านั้น และท่านปฏิบัติเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อ
ประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย บพิตร
โดยทำนองนี้แล โลกนี้มี โลกหน้ามี นรกสวรรค์มีอยู ผลของกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่
ท่านกัสสปะ ถึงกระนั้น โยมก็ยังไม่เชื่ออยูดี
มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันไหม บพิตร
มี ท่านกัสสปะ
ขอให้บพิตรตรัสบอกมาเถิด
ท่านกัสสปะ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง จับโจรร้ายมาให้โยมลงโทษ โยมสั่งให้ลงโทษประหารชีวิต แต่โยมอยากรู้ว่า วิญญาณมีอยู่จริงหรือเปล่า จึงให้เอานักโทษประหารที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นใส่หม้อใหญ่ ปิดปากหม้อมัดด้วยเชือกหนังสด ให้พอกดินเหนียวอย่างหนา แล้วเอาหม้อนั้นตั้งบนเตา จุดไฟต้มนักโทษนั้น เมื่อมั่นใจว่านักโทษคนนั้นตายแล้วแน่นอน จึงให้ยกหม้อลง แล้วกะเทาะดินเหนียวออก ค่อยๆเปิดฝาหม้อทีละนิดๆ เพื่อจะได้เห็นวิญญาณคนร้ายนั้น เปิดฝาอ้าหมดหม้อแล้ว ก็ไม่เป็นวิญญาณคนร้ายเลย โยมจึงเชื่อว่า โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในเรื่องนี้ ขอให้บพิตร
ตอบตามความประสงค์ของบพิตร บพิตรบรรทมกลางวัน ทรงเคยฝันเห็นสวน
อันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ พื้นที่อันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์
บ้างไหม
เคยฝัน ท่านกัสสป
ในขณะที่ฝันนั้น หญิงค่อม หญิงเตี้ย นางพนักงานภูษามาลา(จัดเสื้อผ้าเครื่องประดับตกแต่ง) หรือกุมาริกาคอยรักษาบพิตรอยู่หรือ
คอยรักษาอยู่ ท่านกัสสป ฯ
คนเหล่านั้นเห็นวิญญาณของบพิตรเข้าหรือออกจากร่างบ้างหรือเปล่า
หามิได้ ท่านกัสสป ฯ
บพิตร ก็คนเหล่านั้น มีชีวิตอยู่ ยังไม่สามารถเห็นวิญญาณเข้าออกจากร่างของบพิตรผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ที่บพิตรจักทอดพระเนตรวิญญาณของคนตายไปแล้ว เข้าหรือออกจากร่างได้เล่า บพิตร โดยทำนองนี้แล โลกนี้มีโลกหน้ามีอยู่ นรกสวรรค์มีอยู่จริง ผลของกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่
ท่านกัสสปะ ถึงกระนั้น โยมก็ไม่ยังไม่เชื่ออยู่ดี
ยังมีต่อ
อ้างอิง ข้อ ๔๑๙-๔๒๒
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=6765&Z=7553