
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Payasi IX
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง ปายาสิราชัญญสูตร (ตอนที่ 9)
เจ้าปายาสิไม่เชื่อนรกสรรค์ ไม่เชื่อผลกรรมดีกรรมชั่วว่ามีจริง
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
สรุปบทสนทนา
หลังจากพระกุมารกัสสปเถระ ยกเหตุผลต่างๆมากมายเพื่อให้เจ้าปายาสิเห็นตามความเป็นจริงว่านรกสวรรค์มีอยู่จริง ในที่สุดเจ้าปายาสิก็ยอมรับ
เจ้าปายาสิตรัสว่า
เพียงอุปมาโวหารข้อแรกของท่านกัสสปะเท่านั้น โยมก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว แต่อยากจะฟังปฏิภาณในการตอบปัญหาที่วิจิตรเหล่านี้ จึงทำทีโต้แย้งท่านกัสสปะไปเท่านั้นเอง ภาษิตของท่านกัสสปะชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ภาษิตของท่านกัสสปะชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ท่านกัสสปะประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีตาดีจักเห็นรูปได้
โยมขอถึงพระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านกัสสปะโปรดจำโยมว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต
(บัดนี้) โยมอยากจะบูชามหายัญ ขอท่านกัสสปะโปรดชี้แจงวิธีบูชามหายัญอันเป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่โยมตลอดกาลนานด้วยเถิด (พระองค์ยังคิดทำบุญไม่เป็น จึงคิดได้เพียงแค่ “ยัญ”)
พระเถระกล่าวว่า
ยัญที่ต้องบูชาด้วยชีวิตของผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน อีกทั้งผู้รับยัญก็เป็นผู้มีมิจฉาทิฎฐิ มีมิจฉาสังกัปปะ มีมิจฉาวาจา มีมิจฉากัมมันตะ มีมิจฉาอาชีวะ มีมิจฉาสติ มีมิจฉาสมาธิ บูชายัญไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ให้พระองค์บูชายัญด้วยการไม่ทำร้ายชีวิตผู้อื่นไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ให้เลือกผู้รับยัญเฉพาะผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวาจา
มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาอาชีวะ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ
หลังจากนั้นเจ้าปายาสิ ทำบุญใหญ่ ๗ วัน นิมนต์พระเถระกุมารกัสสปะเป็นประธานสงฆ์ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระองค์ก็ตั้งโรงทาน แจกทานจนตลอดชนม์ชีพของพระองค์
พระองค์ คิดว่า พวกคนธรรมดาสามัญ กินอาหารหยาบๆ ใช้สิ่งของเก่าราคาถูกๆ ไม่ต้องประณีตก็ได้ ก็เป็นอาหารที่พระองค์จะทิ้งแล้ว ผ้าก็หยาบแม้พระองค์ก็ไม่อยากจับ เวลาให้ก็โยนให้บ้าง เอาเท้าเขี่ยให้บ้าง คนมารับทานสกปรกเหม็น พระองค์ก็แสดงทีท่ารังเกียจ แต่ก็ให้ทานไป หลายครั้งพระองค์มักบอกให้คนนั้นคนนี้ให้ทานแทนพระองค์
อุตตรมานพ เป็นเจ้าหน้าที่ จัดแจงการให้ทานของเจ้าปายาสิ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาให้ทานก็อ่อนน้อมถ่อมตนต่อคนผู้มารับทานนั้นด้วย
ทุกครั้งที่มีโอกาสให้ทาน ก็จะปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งทานนี้เกิดภพชาติต่อไป อย่าเกิดร่วมกับเจ้าปายาสิอีกเลย ชาตินี้ก็พอแล้ว
อุตตรมานพปรารถนาอย่างนี้ ทุกครั้งที่ทำบุญ อีกทั้งสิ่งของที่อุตตรมานพจัดการในการทำบุญนั้น ล้วนเป็นราชทรัพย์ของเจ้าปายาสิทั้งหมด แต่ถึงจัดการให้ทานแทนเจ้าปายาสิ ก็ทำด้วยความรู้สึกว่า เป็นวัตถุสิ่งของๆตน
ต่อมา เจ้าปายาสิ ทราบว่าอุตตรมานพทำบุญปรารถนาไม่ขอเกิดร่วมกับพระองค์อีก จึงถามว่า ทำไม จึงปรารถนาอย่างนั้น
อุตตรมานพ จึงบอกว่า พระองค์ไม่เคารพทาน ให้สิ่งของทำบุญก็ให้สิ่งของที่แม้พระองค์ก็ไม่อยากแตะสิ่งนั้นเลย เขี่ยให้บ้าง โยนให้บ้าง ไม่ให้เองบ้าง
เจ้าปายาสิ ทราบดังนั้น จึงให้อุตตรมานพจัดการสิ่งของทำบุญด้วยวัตถุสิ่งของชนิดเดียวกับพระองค์ใช้สอย แล้วพระองค์ก็ให้ทานจนสิ้นพระชนม์ แต่นิสัยกระด้างของพระองค์แก้ไม่หาย ยังให้ทานแบบหยาบๆตามนิสัย ไม่อ่อนน้อมในทานเลย
สิ้นอายุขัยตายแล้ว เจ้าปายาสิเกิดเป็นภุมมเทพบุตร ชั้นจาตุมหาราชิกา ติดกับดินแดนมนุษย์ มีวิมานสวยงามแต่ว่างเปล่า ชื่อว่า “เสรีสกวิมาน” มีต้นซึกใหญ่อยู่หน้าวิมาน เพราะวิมานว่างนี้เอง พระควัมปติเถระ จึงไปพักกลางวันบ่อยๆ (นิสัยเดิมของพระเถระเป็นเทวดาตรงนี้บ่อยจนนิสัยท่านเคยชินกับที่ตรงนี้ แม้เกิดเป็นมนุษย์บรรลุพระอรหันต์แล้วก็ยังมาที่วิมานนี้บ่อยๆ)จนวันหนึ่ง มีเทพบุตรเจ้าของวิมานมาหาท่าน ถึงถามเทพบุตรนั้น ถึงที่มาที่ไปของวิมาน จนทราบแล้ว
พระเถระถามว่า แล้วอุตตรมานพคนจัดการทานของพระองค์ไปเกิดที่ไหน
ปายาสิเทพบุตรกล่าวว่า
“ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครับ พระคุณเจ้า เมื่อท่านกลับไปเมืองมนุษย์แล้ว จงบอกมนุษย์ให้ตั้งอยู่ในศีล ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยตัวเอง ให้สิ่งของที่ประณีต อย่าทำบุญเหมือนผมที่ให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ให้ด้วยมือของตนเอง จึงเกิดเป็นเทวดาชั้นตำ่นี้ แม้มีวิมานงามเพราะให้สิ่งของประณีต แต่เป็นวิมานว่างเปล่า”
อุตตรมานพ แม้ให้สิ่งของที่ไม่ใช่ของตน แต่เพราะจัดการให้ด้วยจิตที่งดงาม ความงามของจิตนี้เอง จัดการวัตถุทั้งหมด เป็นมนุษย์จิตก็งาม ตายแล้วเกิดเป็นเทวดาชั้นสูง มีวิมานงามพรั่งพร้อมด้วยสมบัติของเมืองสวรรค์ทั้งหมด
คนใจงาม รับวัตถุสิ่งของและปัจจัยเงินทำบุญของใครมาทำบุญก็ตาม ยึดอุตตรมานพเป็นตัวอย่างเถิด
ท่านที่ชอบใจให้ทานแบบฝากที หากศรัทธาในบุญก็อาจจะได้คล้ายเจ้าปายาสิ แต่หากทำๆไปอย่างนั้นแหละ ก็ไม่สามารถเทียบเจ้าปายาสิได้เลย
จบบริบูรณ์
อ้างอิง ข้อที่ ๔๓๗-๔๔๑
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=10