
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Payasiviman Serisaka
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง เสรีสกวิมาน หรือปายาสิวิมาน
เจ้าปายาสิเป็นเทพบุตรผู้งามทั้งกายและใจ
หลังจากพระควัมปติเถระ ได้พบกับปายาสิเทพบุตรครั้งแรก จากนั้น ปายาสิเทพบุตรขอร้องให้พระเถระ บอกชาวเมืองเสตัพยนคร ทำบุญแล้ว ปรารถนามาเกิดในวิมานขอพระองค์ด้วย
พระเถระ กลับจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแล้ว ได้บอกชาวเมืองอย่างนั้น มีคนมากมายทำบุญแล้ว ปรารถนาไปเกิดในวิมานของเทพบุตรปายาสิ หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดในวิมานของเทพบุตรตามปรารถนา
และเทพบุตรเองก็ได้บำเพ็ญบุญอยู่เสมอมิได้ขาด จนวิมานที่ว่างเปล่าก็เปล่งปลั่งงามขึ้นเรื่อยๆ เทวดานางฟ้าก็ไปเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
วันหนึ่ง พระเถระได้สนทนากับเทพบุตรปายาสิ และได้ทราบถึงเรื่องที่ปายาสิเทพบุตรได้ช่วยเหลือเหล่าพ่อค้าเกวียน
เพื่อเป็นแบบอย่างในการรทำบุญอีกวิธีหนึ่ง พระเถระจึงเอาการสนทนาระหว่างเทพบุตรกับพ่อค้าเกวียนมากล่าวต่อพุทธบริษัท ดังนี้
บทสนทนาสำนวนใหม่ตัดต่อ (ยาวมาก)ท่านที่ต้องการบทสนทนาเต็ม อ่านได้ตามลิ้งค์ที่ให้ไว้ด้านล่าง
พระเถระกล่าวว่า
พระราชานามว่า ปายาสิ สิ้นพระชนม์แล้วไปเกิดเป็นภุมเทวดา ชั้นจาตุมฯ ได้รับมอบหน้าที่จากท้าวเวสวัณ ให้รับผิดชอบดูทะเลทรายแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่เป็นคนดีตกทุกข์ได้ยาก
วันหนึ่งพ่อค้าเกวียนหลงทางในทะเลทราย ในหมู่พ่อค้าเหล่านั้น มีอุบาสกหนึ่งเป็นคนดีมาก มีศีลมีกัลยาณธรรม ทำให้เทพบุตรปายาสิต้องเข้าช่วยเหลือ จึงปรากฎกายพร้อมวิมานให้พ่อค้าเหล่านั้นเห็น แล้วกล่าวว่า
ใครๆก็กลัวทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด เหมือนหลงเข้าป่า ใจหวาดหวั่นกลัวภัยรอบด้าน
ทะเลทรายนี้ แห้งแล้งมีอาหารไม่เพียงพอ ฟืนไฟก็ไม่มี มีแต่ฝุ่นทรายคลุ้งไปหมด ร้อนเหมือนนรก เพราะเคยเป็นที่อยู่ของพวกหยาบช้า พวกปีศาจเป็นต้น เป็นดินแดนเหมือนถูกสาป
พวกท่านโลภมาก จึงตามัว ไม่พิจารณาให้รอบคอบแล้วเดินทาง จึงหลงทางตามกันมาเป็นพรวนอย่างนี้
พ่อค้ากล่าวว่า
พวกเราเป็นชาวมคธและอังคะ (ปัตนะ)
ไปทำการค้ากับชาวสินธุ(ประเทศปากีสถาน) และชาวโสวีระ(เซ่อคันนิ่งแฮมคาดว่า น่าจะเป็นแถวคุชราต ประเทศอินเดีย)
เดินทางกลางวัน ร้อนมาก กระหายน้ำสู้ไม่ไหว อีกทั้งสงสารสัตว์ จึงต้องเดินทางตอนกลางคืนแทน แล้วก็หลงทางกลางทะเลทราย เหมือนคนตาบอดหลงเข้าป่า งุนงงไปหมด ไม่รู้ทิศไหนเป็นทิศไหน
พอเห็นท่านเท่านั้น ก็เกิดความหวังทันทีว่า จะต้องรอดชีวิตแน่นอน พวกเราเห็นท่านและวิมานของท่านแล้วรื่นเริงใจ เบิกบานใจ
เทพบุตรถามว่า
เพราะโภคทรัพย์เป็นเหตุนี้เอง พวกท่านจึงเร่ร่อนไปทั่วสารทิศ ข้ามน้ำข้ามทะเล ขึ้นเขาลงห้วย ทั้งทางกันดารทะเลทราย ข้ามได้ยากแสนยาก พวกท่านก็ดิ้นรนไป
เออว่าแต่ว่า พวกท่านไปต่างประเทศหลายประเทศ เห็นสิ่งอัศจรรย์มามากมาย บอกหน่อยได้ไหมว่า มีอะไรบ้าง (เทวดาถามหยั่งดูว่า ยังจะมีอะไรที่งามกว่าวิมานของเราอีกไหม)
พ่อค้าตอบว่า
พ่อกุมาร พวกเราเห็นอะไรในต่างประเทศมากมายก็จริง แต่ไม่มีอะไรเลยที่อัศจรรย์ใจเท่ากับวิมานของท่าน งามเหลือเกิน มองอย่างไรก็ไม่อิ่ม
วิมานของท่านลอยอยู่ในอากาศ มีสระน้ำใสสะอาด มีไม้ดอกไม้ประดับ จัดแต่งงามยิ่ง ดอกไม้งามส่งกลิ่นเย็นชื่นใจนัก
เสาวิมานก็เป็นแก้วไพฑูรย์ เป็นพันต้น สูงสง่าตระหง่านตา ตกแต่งด้วยแก้วผลึก ประพาฬ ทับทิม รัศมีระยิบระยับ หลังคาทองคำเปล่งประกายงาม
วิมานสว่างไสวด้วยทองชมพูนุช ทุกชิ้นส่วนของวิมานละเอียดงามด้วยศิลปะ บันไดก็งาม กลมกลืนกันทั้งหมด งามเหลือเกิน มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
เสียงดนตรีไพเราะ นางเทพอัปสรฟ้อนรำ ร่าเริงเบิกบาน ทวยเทพต่างนอบน้อมท่าน ท่านมีอานุภาพยิ่งใหญ่นัก
ท่านเป็นใครหรือ เป็นเทวดา เป็นยักษ์ เป็นท้าวสักกะ หรือเป็นมนุษย์ โปรดบอกพวกเราด้วยเถิด
เทวดากล่าวว่า
ข้าพเจ้าชื่อเสรีสกะ (ได้ชื่ออย่างนี้เพราะมีต้นมะรุมป่าหรือจามจุรีมากบริเวณนั้น หรือเรียกอีกอย่างว่าต้นซึก)เป็นเทวดารักษาคุ้มครองดูแลทางกันดารนี้ตามคำสั่งของท้าวเวสวัณ
พ่อค้าถามว่า
แล้ววิมานนี้ ท่านได้มาอย่างไร มันเกิดเอง ท่านเสกเอาเอง หรือเทวดาอื่นมอบให้ท่าน
เทวดากล่าวว่า
วิมานนี้ เกิดด้วยบุญกรรมอันดีงามของข้าพเจ้า
ท่านปฏิบัติอย่างไรหรือ จึงได้วิมานนี้
เมื่อครั้งสมัยเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าครองราชสมบัติอยู่เมืองเสตัพยะ (เมืองขึ้นของเมืองสาวัตถี) เป็นคนมีมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม ตายแล้วก็จบกันแค่นั้น แต่พระคุณเจ้ากุมารกัสสปะ เป็นพหูสูต แสดงธรรมไพเราะ วิจิตรงดงาม เมตตาแสดงธรรมบรรเทาทิฏฐิของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าฟังธรรมท่านแล้ว ประกาศตนเป็นอุบาสก ตั้งอยู่ศีลห้าบริบูรณ์ นี้เองเป็นวัตรปฏิบัติเป็นพรหมจรรย์ของข้าพเจ้า
พ่อค้ากล่าวว่า
เล่ากันว่า คนมีปัญญาพูดแต่ความจริง คำพูดของบัณฑิตไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
คนทำบุญไว้ จะไปที่ใด ย่อมมีแต่สิ่งที่น่ารักน่าใคร่ บันเทิงอยู่ในที่นั้น
แต่ ณ ที่ใด มีแต่ความโศก มีแต่ความร่ำไห้ มีการฆ่าการจองจำ และมีแต่เรื่องเลวร้าย
คนทำบาปไว้ก็จะไปในที่นั้น
ไม่พ้นจากสถานที่ชั่วไปได้ ไม่ว่าในกาลไหน
ขณะที่สนทนากันอยู่นั้น ฝักของมะรุมหรือจามจุรีเกิดแตกเปรี๊ยะๆ เทวดาและนางฟ้าตกใจ ต่างมีสีหน้าหม่นหมอง
พ่อค้าถามว่า
พ่อกุมาร (เทพบุตรหน้าเหมือนเด็กหนุ่มอายุ ๑๖)
ทำไมหนอ เทวดานางฟ้าทั้งหลายจึงตกใจมากคุมสติไม่อยู่ เหมือนน้ำใสสะอาดเกิดขุ่นมัวขึ้นมา แล้วพากันเศร้าโศกโทมนัส
เทพบุตรกล่าวว่า
กลิ่นทิพย์จากป่าไม้ซึกส่งกลิ่นหอมทั่ววิมาน เกษรกลิ่นมีแสงระยิบระยับ สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน ทุก ๑๐๐ ปีของมนุษย์ เปลือกฝักซึกจะแตก
พ่อทั้งหลาย (เปลือกซึกแตกเหมือนบอกเวลาของชีวิต) ข้าพเจ้าอยู่ในวิมานนี้ อีก ๕๐๐ ปีทิพย์ก็จะสิ้นอายุ จะต้องจุติ นึกถึงแล้วก็เศร้าใจ (เพราะเวลาช่างน้อยเหลือเกิน)
พ่อค้ากล่าวว่า
ผู้ที่ได้วิมานงามเปรียบปานมิได้ อายุก็ยืนยาวขนาดนี้ จะเศร้าโศกไปทำไม แต่พวกที่มีบุญน้อย อยู่ในวิมานแค่ชั่วคราว นั่นต่างหากควรเศร้าโศก
เทวดากล่าวว่า
พ่อทั้งหลาย กล่าววาจาน่าชื่นใจเป็นการเตือนข้าพเจ้า(ไม่ให้ประมาท) ข้าพเจ้าจะตามคุ้มครองท่าน ขอให้พวกท่านเดินทางด้วยความปลอดทุกแห่งหนที่ท่านไป
พ่อค้ากล่าวว่า
พวกเราทำการค้าจึงต้องเดินทางไปเมืองสินธุและเมืองโสวีระ จะทำแต่กรรมดี จะเสียสละบำเพ็ญบุญ และจะบูชาเสรีสกเทพบุตรอย่างยิ่งใหญ่
เทวดากล่าวว่า
ท่านทั้งหลายอย่าบูชาเสรีสกเทพบุตรเลย ขอให้พวกท่านรักษาคำพูด เว้นกรรมชั่วตั้งใจทำความดี
เทวดากล่าวต่อ
ในกลุ่มของพวกท่านนี้ มีอุบาสกคนหนึ่ง เป็นพหูสูต มีศีลและจริยาวัตรงดงาม มีศรัทธา มีจาคะ มีมายาทที่น่ารัก เป็นคนรอบคอบ มักน้อย มีความรู้ ไม่พูดเท็จ ไม่คิดเบียดเบียน ไม่พูดส่อเสียดให้คนแตกกัน พูดเพราะอ่อนหวาน
เขาเคร่งครัดในศีลมาก เลี้ยงมารดาบิดาอยู่ ที่เขายังทำงานเลี้ยงชีพอยู่เพราะเห็นแก่มารดาบิดา ไม่ใช่เพราะตนเอง เมื่อมารดาบิดาสิ้นแล้ว เขาก็จะออกบวช เพราะความดีของอุบาสกนั้น ข้าพเจ้าจึงปรากฎตัวให้พวกท่านเห็น ดังนั้น ท่านทั้งหลาย จงเห็นความสำคัญของการมีธรรมเถิด หากไม่มีอุบาสกนั้นแล้ว ท่านทั้งหลายจะสับสนอลหม่าน เหมือนคนตาบอดหลงเข้าไปในป่าร้อนเป็นเถ้าถ่าน
การทอดทิ้งผู้อื่นเป็นการง่ายสำหรับคนทั่วไป(แต่เป็นการยากสำหรับสัตบุรุษ) คบหาสัตบุรุษจึงนำความสุขมาให้อย่างแท้จริง
พวกพ่อค้าถามว่า
อุบาสกคนนั้นคือใคร และทำงานอะไร
เขาชื่อ โคตร อะไร ข้าแต่เทวดา ข้าพเจ้าทั้งหลาย อยากจะเห็นอุบาสกนั้น ที่ทำให้ท่านมา ณ ที่นี้ เพื่อช่วยเหลืออุบาสกที่ท่านชอบ เป็นคนโชคดี
เทพบุตรตอบว่า
ผู้ที่เป็นกัลบกมีชื่อว่าสัมภวะ
เลี้ยงชีพด้วยการตัดผม
เป็นคนรับใช้ของพวกท่าน
ท่านทั้งหลายจงรู้ว่าเขาเป็นอุบาสก
ท่านทั้งหลายอย่าดูหมิ่นเขา
เขาเป็นผู้มีศีลเป็นที่รักยิ่ง
ข้าแต่เทวดา พวกข้าพเจ้ารู้จักช่างตัดผมคนที่ท่านพูดถึงดี แต่ไม่เคยรู้เลยว่า เขาเป็นคนเช่นนี้เลย
เมื่อข้าพเจ้าทั้งหลายรู้จากท่านแล้ว
จะบูชาอุบาสกนั้นอย่างโอฬาร
แล้วเทพบุตรกล่าวเชิญพ่อค้าทั้งหลายเข้าชมวิมานของตน ว่า
ขอเชิญพวกท่านทุกคนในกองเกวียนนี้
ไม่ว่าคนหนุ่ม คนแก่ หรือวัยกลางคน
ทั้งหมดทุกคนขึ้นไปบนวิมาน
ใครที่ตระหนี่ ก็จงดูผลของบุญทั้งหลายไว้เถิด
หลังจากเทพบุตรปายาสิ(เสรีสกเทพบุตร)บอกว่าใครเป็นอุบาสกแล้ว ต่างก็ล้อมอุบาสก แสดงความเคารพอย่างมาก จากนั้น เทพบุตร ได้เชิญทุกคนขึ้นชมวิมานของตน
เป็นอะไรที่ทุกคนตื่นเต้นที่สุด ที่คนเป็นๆสามารถขึ้นวิมานบนสวรรค์ได้ ไม่มีคำจะบรรยายว่างามขนาดไหน เห็นแล้วทุกคนต่างก็ประกาศตนว่า ข้าพเจ้าขอเป็นอุบาสกถึงพระรัตนเป็นสรณะ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์
หลังจากนั้น พ่อค้า ก็ออกเดินทางไปค้าขายตามเมืองที่ตั้งใจไว้ ขายสินค้าหมดแล้ว กลับบ้านเมืองตนด้วยความปลอดภัย เป็นอุบาสก เคร่งครัดในศีล บำเพ็ญทานไม่ขาด
การได้คบคนดีเพียงคนเดียว การได้ไปไหนกับคนดีเพียงคนเดียว ทำให้ได้ทุกอย่าง ทำให้ปลอดภัยทุกแห่งหน ทำให้ได้ประสบพบเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น
พ่อค้าทั้งหลาย ได้ช่วยกันตั้งศาล เป็นเทวาลัย (ที่อยู่ของเทวดา) หรือเรียกว่า “ศาลเสรีสกะ” ทำบุญด้วยการตั้งตนเป็นคนดี บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา อุทิศให้แก่เสรีสกเทพบุตรไม่ขาด
การคบสัตบุรุษให้สำเร็จประโยชน์อย่างนี้
การคบผู้มีคุณธรรมมีประโยชน์มาก
พ่อค้าทั้งหมดได้ประสบความสุข
เพราะผลอันสืบเนื่องมาจากอุบาสกคนเดียว
บางช่วงแห่งยุคสมัย ปูย่าตายายของเราเห็นสวรรค์ด้วยตาเปล่าได้ ปัจจุบันสมัยนี้ เรามีเทคโนโลยีสมยุคสมัย เราจึงเห็นคนทั่วทุกมุมโลก พิสูจน์โลกหลังความตาย ได้พูดคุยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผ่านเครื่องสื่อสาร
การพูดคุยกับคนในโลกทิพย์ ไม่ใช่เป็นเพียงเฉพาะคนมีญาณทิพย์เท่านั้น แต่คนทั่วไปที่กล้าพิสูจน์ ก็เห็นได้เช่นกัน และจะชัดขึ้นเรื่อยๆแน่นอน ตามกระบวนของเทคโนโลยี
ความเจริญของเทคโนโลยี เปิดเผยโลกทิพย์ให้ปรากฎชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนที่ไม่ใช่ประเภทบัวใต้โคลนตม อยากทำความดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคนประเภทใต้โคลนตม แม้เห็นกับตาก็ไม่เชื่ออยู่นั่นเอง คำอธิบายของเขาก็ชวนน่าคล้อยตามสำหรับคนบัวใต้โคลนตมเช่นกัน
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=26&siri=122