Buddhadhamma Tepitaka Maccharisutta 9-2
Buddhadhamma Tepitaka Maccharisutta 9-2
popularity:0
  • Description

Buddhadhamma Tepitaka Maccharisutta 9-2

ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก

เรื่อง มัจฉริสูตร

คนตระหนี่จะสิ้นทุกอย่าง คนใจบุญจะพรั่งพร้อมทุกอย่าง

เทวดาองค์หนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

คนตระหนี่ไม่ให้ทาน ด่าว่า ขัดขวางผู้อื่นที่ให้ทาน ผลกรรมของเขาจะเป็นอย่างไร

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า (ขอเขียนเป็นภาษาชาวบ้านา)

เขาเหล่านั้น จะเกิดในนรก สัตว์เดรัจฉาน หรือยมโลก เช่น เปรต อสุรกายเป็นต้น เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเกิดในครอบครัวที่ยากจน ทำงานหนัก แต่ก็ยังไม่พอกิน ไม่พอใช้ หน้าตาก็หม่นหมอง ไม่ร่าเริง อยากได้ก็ไม่ได้ หรือได้แสนยาก ตายแล้วก็ยังจะไปเกิดในทุคติภูมิต่ออีก คือเกิดในภพภูมิที่ต่ำและยากลำบากต่อไปอีก

อธิบายธรรมช่วงนี้

คนไร้น้ำใจ คือคนที่ทำลายตนเองทุกอย่าง แม้เขาจะมีทรัพย์สมบัติ แต่ทรัพย์นั้นอย่างมากก็พอเลี้ยงชีวิตของเขาและคนของเขาให้มีชีวิตอยู่ปัจจุบันเท่านั้น บางคนถึงมีทรัพย์ แต่ก็เลี้ยงตนเองน้อย คนของเขาก็ไม่ค่อยเลี้ยงดูเช่นกัน

คนไร้น้ำใจ เหมือนคนที่รื้อหลังคาบ้านตนเองออกแล้วมาเก็บไว้เพราะเกรงว่าหลังคาจะเก่า และเกรงว่าหลังคาจะกันแดดลมฝนให้คนอื่นด้วย เขายอมทนอยู่กับความหนาว ความร้อน เปียกน้ำ คนไร้น้ำใจเหมือนคนตัดต้นไม้บริเวณบ้านทิ้งแล้วเอามาเก็บไว้ด้วยเกรงว่าต้นไม้จะถูกนกเกาะ จะเป็นที่บังแดดแก่คนอื่นด้วย ตัดดีกว่า แล้วเอามาเก็บไว้ ถึงเขาจะอยู่ท่ามกลางแดดไร้ร่มเงาไม้ก็มีความสุขกว่าที่จะให้ต้นไม้ให้แดดเงาแก่คนอื่นด้วย

เขารื้อหลังคาบ้านออก หลังคาก็ไม่ให้ความร่มเย็น กันหนาวกันร้อนให้เขาเช่นกัน เขาตัดต้นไม้ออก ต้นไม้ก็ไม่ให้เงาแก่เขา ไม่ให้ความร่มรื่นแก่เขาเช่นกัน เมื่อเขาไร้น้ำใจต่อผู้อื่น แล้วจะมีผู้อื่นที่ไหนเหลียวแลเขา จะมีผู้อื่นที่ไหนมีน้ำใจต่อเขา ถึงกระนั้น เขาก็คิดว่าตนเองเป็นคนดีนั่นเอง เขาจะด่าคนอื่นที่ไม่มีน้ำใจแก่เขา คนไร้นำ้ใจมักไร้สีสันชีวิต หรือดูเหมือนร่าเริง แต่ก็เป็นการร่าเริงเหมือนสุนัขแทะกระดูก

คนไร้น้ำใจที่ยากจนอยู่แล้ว ยิ่งจะยากจนหนักไปเรื่อยๆ เจริญรุ่งเรืองยาก ทำงานหนักแต่ก็พอมีทรัพย์ให้ประทังชีวิตไปวันๆเท่านั้น

จิตของพวกเขาหม่นหมองอยู่เสมอ เขาไม่มีเวลาร่าเริงเพลิดเพลิน สภาพชีวิตของพวกเขาที่อยู่อย่างลำบาก ทำงานหนัก ได้ค่าตอบแทนน้อย ไม่เพียงพอที่จะซื้อสิ่งดีๆมาบำรุงเลี้ยงตนเอง บ้านช่องก็รก เหม็น พอบังแค่ลมแดด บางคนก็บังไม่ได้เลย จึงทำให้พวกเขาหม่นหมองอยู่เสมอ เพราะใจหมอง เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดในสถานที่หมองอีก

บางคนอาจจะพอมีกินบ้าง แต่ก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุข ตายไปแล้วก็ตกต่ำต่อไปอีก บางคนถึงเกิดในประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรนักอย่างมากก็ทำบุญตามประเพณี ก็ไม่ได้ทำด้วยศรัทธาอะไร บุญที่ทำน้อย แต่เวลาส่วนใหญ่ไปหมกมุ่นอยู่กับอบายมุข บุญที่น้อยนิดไม่ได้เกิดจากศรัทธาด้วย ก็ต้านทานพลังผลกรรมอันเกิดจากอบายมุขไม่ได้ ตายแล้วก็ตกต่ำต่อไปอีก

เทวดาทูลถามต่ออีกว่า

เป็นมนุษย์ รู้จักเจรจาอันเป็นบุญ ไม่ตระหนี่ เลื่อมในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ และเคารพอย่างแรงกล้า ผลกรรมในชาติหน้าของผู้นั้นจะเป็นอย่างไร

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า (เขียนเป็นภาษาชาวบ้าน)

มนุษย์ รู้จักพูดจาในทางบุญความดีงาม ไม่ตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นผู้เคารพอย่างแรงกล้า ตายแล้วจะไปเกิดบนสวรรค์ที่พรั่งพร้อมด้วยความงาม เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ จะเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ครอบครัวเศรษฐี ที่พรั่งพร้อมด้วยโภคทรัพย์ทุกอย่าง (ไม่ต้องดิ้นรนหาด้วยตัวเอง) เขาจะเพลิดเพลินด้วยความสุขที่พรั่งพร้อมอยู่แล้วนั้น และจะเกิดในภพภูมิที่เป็นสุขอย่างนี้อีกต่อไป (หากไม่ทำชั่วเสียก่อน ผลกรรมดีในชาติที่แล้ว ยังจะส่งผลที่ดีต่อไปอีก)

อธิบายธรรม

คนจิตใจงาม ฉลาด เวลาพูดจะพูดความจริง ความจริงที่คนฉลาด คนใจงามพูด เป็นความจริงที่ฟังแล้ว เกิดกำลังใจ อิ่มใจ เบิกบานใจ อยากปฏิบัติตาม ส่วนความจริงที่คนพาลพูด มักทำลายกำลังใจ ก่อให้เกิดความโกรธ ไม่อยากปฏิบัติตาม

ความจริงที่คนฉลาดคนใจงามพูด จะก่อแต่สิ่งสวยงามแก่สังคมแก่โลก ความสุขเกิดขึ้น ตายแล้วก็เกิดบนสวรรค์

คนที่ให้ทานมีน้ำใจเสมอ ย่อมเป็นบุญอย่างยิ่ง

ทำไมศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์แล้วเจริญรุ่งเรืองไปเกิดบนสวรรค์หรือสุคติภูมิอื่นๆ เพราะพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ตรัสรู้กฏธรรมชาติ พระธรรมคือกฎธรรมชาติ พระสงฆ์คือผู้พิสูจน์กฏธรรมชาติ ย่อธรรมชาติให้แคบลง คือตัวเราที่ประกอบด้วยกายและใจ ธรรมชาติส่วนใจหรือจิตนี้ มี ๒ ประเภทใหญ่ คือ จิตดีและจิตชั่ว จิตที่ดีงามเมื่อเกิดแล้วจะก่อความงาม ความสุข และพัฒนาถูกต้องแล้วก็ดับการเดินทางของธรรมชาติฝ่ายจิตได้ ไม่เวียนเกิดเวียนตายซึ่งเป็นการก่อทุกข์ ส่วนจิตฝ่ายชั่วหรือฝ่ายอกุศลนั้น ยิ่งปล่อยให้มันเกิดก็ยิ่งชั่ว ยิ่งทุกข์ และยิ่งฉลาดในการก่อทุกข์

การมีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า จึงมีแต่ความสุขและได้ประโยชน์นับประมาณมิได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนธรรมะแก่เราเพื่อลาภสักการยศถาบรรดาศักดิ์ แต่อย่างใด แต่พระองค์ทรงมีเมตตากรุณาต่อพวกเราต่างหาก จึงยอมลำบากมากมาย เที่ยวเดินทางไปบอกธรรมะแก่พวกเรา เพื่อให้พวกเราได้รู้วิธีฝึกจิต เพื่อให้พวกเราเป็นสุขจากจิตของเราเอง และเพื่อให้พวกเราดับทุกข์คือจิตไม่ให้พาท่องเที่ยวไปก่อทุกข์ตามภพภูมิต่างๆอีก ซึ่งล้วนเป็นทุกข์และเป็นเหตุแห่งทุกข์

คนใจบุญแล้ว ยังรู้จักพูดจาให้ผู้อื่นยินดีในทานของตนอีก และเป็นกำลังใจให้คนอื่นทำบุญ ทำบุญแล้ว ก็ยังเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอีก เช่นพูดว่า หากเราไม่ทำบุญกับพระคุณเจ้าแล้ว ท่านจะสืบต่ออายุพระศาสนาได้อย่างไร ท่านจะอยู่อย่างไร หรือให้ทานแก่คนขอทาน ก็เห็นอกเห็นใจเขา ว่า เขาคงลำบากมาก อดๆอยากๆ ได้กินบ้างไม่ได้กินบ้าง ก็ยิ่งเพิ่มปริมาณของบุญ ส่วนคนตระหนี่ หรือบางท่านที่คิดว่าตนฉลาด นอกจากไม่ให้แล้ว ยังต่อว่า ตำหนิติเตียนอีก

นอกจากบุญที่ทำแล้ว ผลบุญที่รู้จักพูดจาให้ผู้อื่นมีความสุขในบุญนั่นเอง เมื่อตายแล้วก็ต้องไปเกิดบนสวรรค์ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ จะเกิดในครอบครัวเศรษฐีที่มีทรัพย์สมบัติเพียบพร้อมทุกอย่างคอยแล้ว อยากได้อะไรก็มีคนคอยบริการให้ทุกอย่าง

ทำบุญแล้ว ยังพาผู้อื่นให้สุขใจ อิ่มใจในการทำบุญ เป็นการเตรียมการให้ตนเองมีความสุขโดยไม่ต้องทำงานหนัก แต่มีพร้อมทุกอย่าง และมีความสุขที่คนอื่นก็คอยบริการเราด้วยความเต็มใจ เพราะบุญที่เราเคยทำให้คนอื่นสุขใจ

เมื่อใจเราไม่ขุ่นมัว ตายแล้วก็ยังไปเกิดในสุคติภูมิอีก

อ้างอิง

https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=990&Z=1023

You may also like...

Popular Articles...