
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Payasi Vii
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง ปายาสิราชัญญสูตร (ตอนที่ 7)
เจ้าปายาสิไม่เชื่อนรกสรรค์ ไม่เชื่อผลกรรมดีกรรมชั่วว่ามีจริง
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
สรุปย่อบทสนทนา
เจ้าปายาสิเสียดายความเชื่อของพระองค์ที่ยึดถือมานาน จนพระเจ้าปเสนทิโกศล และกษัตริย์เมืองอื่นๆยามนึกพระเจ้าปายาสิ ก็จะเห็นภาพของพระองค์เป็นคนไม่เชื่อนรกสวรรค์ไม่เชื่อบุญบาป และพระองค์ก็ดูเหมือนจะภูมิใจในทิฏฐิคือความเชื่อของพระองค์อย่างเหนียวแน่น จนเกรงว่าหากเลิกเชื่ออย่างนี้ ภาพลักษณ์ของตนก็จะหายไป คนก็จะดูถูก เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ทำให้พระองค์ยืนยันต่อพระกุมารกัสสปเถระว่า จะเชื่ออย่างนี้ต่อไป
พระกุมารกัสสปเถระ ก็ยังไม่ละที่จะชี้แจงแสดงธรรมให้เจ้าปายาสิเข้าถึงธรรม จึงอุปมาเรื่องราวให้เจ้าปายาสิฟังต่อว่า
ดูก่อน บพิตร
มีหมู่กองเกวียนใหญ่กองหนึ่ง มีเกวียน ๑,๐๐๐ เล่ม เวลาออกไปค้าขายพร้อมกัน ถึงเวลาพักกองเกวียนแต่ละครั้งตามจุดพักต่างๆ ทำให้หญ้าสำหรับเลี้ยงวัวไม่เพียงพอ น้ำก็ต้องใช้เยอะ เครื่องใช้สอยต่างๆก็ต้องใช้จำนวนมาก ทำให้เกิดความลำบาก หัวหน้ากองเกวียนจึงตกลงแบ่งช่วงเวลาการเดินทาง เพื่อให้หญ้าและนำ้เพียงพอ และสิ่งของเครื่องใช้อื่นก็ไม่ขาดแคลน
พ่อค้าคณะแรกออกเดินทางไปก่อน ทิ้งช่วงระยะห่างประมาณหญ้างอกขึ้นใหม่ทันจากที่วัวคณะแรกเล็มกินแล้ว
ขณะที่พ่อค้ากลุ่มแรกเดินทางไปนั้น ก่อนถึงที่พักจุดที่ ๑ ก็มีรถคันงาม เปียกโชกด้วยน้ำฝน รถก็เปรอะไปด้วยโคลน สวนทางมา คนขับรถเป็นบุรุษผิวดำ นัยน์ตาแดง ผูกสอดแล่งธนู ทัดดอกกุมุท (ดอกบัวสาย) มีผ้าเปียก ผมเปียก
หัวหน้ากองเกวียนจึงถามว่า
ที่ท่านแล่นมานั้นฝนตกหนักหรือ
ครับ ฝนตกหนักมาก ชุ่มชื้นทั่วไปหมด พวกท่านทิ้งหญ้า ฟืน น้ำ เสียเถอะหนักเปล่าๆ เกวียนก็จะเบา เดินทางได้เร็วขึ้น
หัวหน้ากองเกวียนเห็นหลักฐานประจักษ์ชัดอย่างนั้นด้วย ก็มั่นใจว่า ข้างหน้ามีน้ำท่า หญ้าอุดมสมบูรณ์แน่นอน จึงบอกให้คณะกองเกวียนทิ้งสิ่งของดังกล่าว
แต่ เมื่อไปถึงจุดพักที่ ๑ ก็ไร้วี่แววของน้ำ สักหยดหนึ่งก็ไม่มี ทั้งวัว ทั้งคนก็เริ่มล้าอ่อนแรง พยายามดิ้นรนต่อไปด้วยความหวังว่าต้องมีสักจุดหนึ่งที่มีน้ำ มีหญ้ามีฟืนทำอาหาร แต่ไปจนถึงจุดพักที่ ๗ ก็ไม่มีอะไรเลย ทุกคนหมดแรง ทั้งสัตว์และคนก็ล้มนอนกันเกลื่อนบริเวณนั้น พวกยักษ์และอมนุษย์ทั้งหลาย จึงมาจับสัตว์และคนกินอย่างง่ายดาย จนหมดสิ้น
ต่อมา กองเกวียนคณะที่ ๒ เห็นว่า กองเกวียนคณะแรกไปนานพอสมควรแล้ว จึงออกเดินทางตามไป ระหว่างเดินทาง ก็ประสบพบเห็นเหตุการณ์อย่างคณะเกวียนกองแรก แต่คณะหลังนี้ คิดว่า คนแปลกหน้าแต่หวังดีต่อเรา ยังไงๆก็สงสัยไว้ก่อนดีกว่า จึงไม่เชื่อ แม้ว่ารถคันนั้นเปรอะโคลนคนขับเปียกโชกด้วยน้ำฝนก็จริง
หัวหน้ากองเกวียนจึงสั่งลูกเกวียนทั้งหมดให้เก็บสิ่งของที่บรรทุกมาไว้เหมือนเดิมห้ามทิ้งตามคำแนะนำของคนแปลกหน้าเด็ดขาด
เมื่อกองเกวียนมาถึงจุดแวะพักที่ ๑ ก็ไม่เห็นหยดฝน ไม่เห็นหญ้าเขียวขจีอย่างที่คนแปลกหน้าแนะนำเลย ไปจนถึงจุดแวะพักที่ ๗ เห็นกองเกวียนคณะแรกจอดนิ่งสนิท โครงกระดูกของคนของสัตว์กระจายเกลื่อนบริเวณนั้น จึงรู้ว่ากองเกวียนคณะนี้ถูกหลอกด้วยอมนุษย์แล้วถูกจับกินง่ายดายแน่นอน
หัวหน้ากองเกวียน จึงให้เอาสิ่งของที่คณะของพวกตนขนมาที่มีค่าน้อยไม่จำเป็นทิ้งเสีย แล้วเก็บเอาสิ่งของต่างๆที่มีราคามากและเกิดประโยชน์จากกองเกวียนคณะแรกไป ดีกว่าทิ้งไว้จะสูญเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ
ดูก่อน บพิตร พระองค์ก็เหมือนกองเกวียนคณะแรก ไม่มีปัญญา จะประสบความฉิบหายวายวอดทั้งพระองค์และคนที่เชื่อพระองค์ ขอให้พระองค์สลัดความคิดทิฏฐินั้นเสียซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย อีกทั้งจะทำให้พระองค์เป็นทุกข์อีกนานแสนนาน
พระคุณเจ้ากัสสปะว่าอย่างนั้นก็จริง แต่จะให้โยมสลัดทิ้งทิฏฐินั้นง่ายๆ ได้อย่างไร โยมยึดถือของโยมมาช้านาน จนพระเจ้าปเสนทิโกศลและราชาเมืองอื่นๆต่างก็รู้ว่าโยมเป็นคนอย่างนี้ หากโยมสลัดละทิ้งไป เดี๋ยวก็จะมีคนตำหนิโยมว่า เจ้าปายาสินี่ โง่ เดี๋ยวเชื่ออย่างนี้เดี๋ยวเชื่ออย่างนั้น เอาแน่อะไรไม่ได้ ดังนั้นแล้ว โยมจะเป็นอย่างนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าจะต้องทะเลาะ ดูถูกเหยียดหยาม แข็งดีกันก็ตาม
ยังมีต่อ
อ้างอิง ข้อที่ ๔๒๙-๔๓๑
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=10