
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Uttarapeta
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่องอุตตรมาตุเปตวัตถุ
แม่ตระหนี่ถี่เหนียวชอบด่าว่าลูกชายผู้ชอบทำบุญ
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว และการประชุมทำสังคายนาครั้งแรกก็เสร็จแล้ว ท่านพระมหากัจจายนะเถระกลับไปเมืองโกสัมพี พร้อมด้วยภิกษุ ๑๒ รูปอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากกรุงโกสัมพีนัก
ก็สมัยนั้น อำมาตย์คนหนึ่งของพระเจ้าอุเทนได้ทำกาละแล้ว สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ อำมาตย์นั้นได้เป็นผู้จัดตั้งการงานในพระนคร
ต่อมา พระราชาสถาปนาอุตตรมาณพผู้เป็นบุตรของอำมาตย์นั้นมา ไว้ในตำแหน่งที่บิดาดำรงอยู่ว่า เจ้าจงดูแลการงานที่บิดาเจ้าจัดตั้งไว้ มานพนั้นได้สานงานต่อจากบิดา คือรับผิดชอบการดูแลการก่อสร้างประจำเมือง
อุตตรมาณพนั้นรับพระดำรัสแล้ว วันหนึ่งได้พานายช่างไปในป่า เลือกไม้สำหรับซ่อมแซมพระนคร ในป่านั้น พระเถระและพระภิกษุอื่นอาศัยอยู่ด้วย มานพหนุ่มนั้น จึงเข้าไปกราบท่านพระมหากัจจายนะในที่นั้น เห็นพระเถระผู้ทรงบังสุกุลจีวร นั่งเงียบอยู่ในที่นั้น จึงเลื่อมใสในอิริยาบถ ได้กระทำปฏิสันถารแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระเถระแสดงธรรมแก่เธอ
อุตตรมานพ สดับธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จึงตั้งอยู่ในสรณะ แล้วนิมนต์พระเถระพร้อมกับพระภิกษุทั้งหลายฉันภัตตาหารที่บ้านของตนในวันพรุ่งนี้
พระเถระรับนิมนต์โดยดุษณีภาพอุตตรมานพกลับจากป่าแล้วเข้าไปยังนคร ได้บอกแก่อุบาสกอื่นๆ ว่า ข้าพเจ้าได้นิมนต์พระเถระเพื่อฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ขอเชิญท่านทั้งหลายมายังโรงทานของข้าพเจ้าด้วยเถิด
ในวันรุ่งขึ้น เวลาเช้าตรู่ เขาให้จัดภัตตาหารอันประณีต เสร็จแล้ว ให้แจ้งเวลาแด่พระเถระ กระทำการต้อนรับพระเถระผู้มาพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย ไหว้แล้วมุ่งหน้าให้เข้าไปยังเรือน.
เมื่อพระเถระและภิกษุทั้งหลายนั่งบนอาสนะที่ลาดด้วยเครื่องลาดอันเป็นกัปปิยะมีค่ามาก ทำการบูชาด้วยของหอม ดอกไม้และธูป ให้พระเถระและภิกษุเหล่านั้นอิ่มหนำด้วยข้าวน้ำอันประณีต
หลังจากฉันเสร็จแล้ว พระเถระได้แสดงธรรมอนุโมทนาในทานนั้น เขามีความเลื่อมใสกระทำอัญชลีฟังอนุโมทนา
เมื่อพระเถระกระทำอนุโมทนาภัตรเสร็จแล้วกลับไปยังที่พัก อุตตรมานพอุ้มบาตรตามส่งพระเถระ ออกจากนครไปแล้ว ก่อนกลับเข้าเอง ได้วิงวอนพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายพึง โปรดเข้ามายังเรือนของข้าพเจ้าเป็นนิตย์เถิด พระเถระรับนิมนต์นั้น เมื่อรู้ว่าพระเถระรับแล้วจึงกลับ
อุตตรมานพ อุปัฏฐากพระเถระด้วยความเคารพอยู่อย่างนี้ ตั้งตนอยู่ในโอวาทของท่าน ต่อมาได้บรรลุโสดาปัตติผล ความเลื่อมใสศรัทธาเกิดขึ้นอีกนับประมาณมิได้ จึงได้สร้างวิหารถวายพระเถระและพระภิกษุสงฆ์ ทั้งกระทำให้ญาติของตนทั้งหมดเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ฝ่ายมารดาของอุตตรมานพ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ได้แต่ด่าบริภาษเพราะหวงสิ่งของเวลาลูกทำบุญว่า เจ้าให้สิ่งไรแก่พวกสมณะ สิ่งนั้นจงเป็นโลหิตแก่เจ้าในปรโลกเถิด เพราะลูกชายอยากให้มารดาได้บุญด้วยจึงหยิบสิ่งของอันเป็นของมารดาทำบุญด้วย มารดาก็ด่าไม่หยุดหย่อน แต่นางก็ยังอนุญาตกำหางนกยูงกำหนึ่งที่ถือไปในวันฉลองวิหาร
นางทำกาละแล้วเกิดในกำเนิดเปรต หากินริมฝั่งแม่น้ำคงคา แต่เพราะนางอนุโมทนาทานด้วยกำหางนกยูง นางจึงมีผมดำสนิทมีปลายตวัดขึ้น ละเอียดและยาว
ในคราวที่นางลงแม่น้ำคงคาด้วยคิดว่าจักดื่มน้ำนั้น แม่น้ำคงคาก็กลายเป็นเลือดทันที นางไม่สามารถดื่มน้ำได้เลย ถูกความหิวกระหายบีบคั้นทุกข์ทรมานมาก เดินระเหเร่ร่อนเที่ยวไปอย่างนี้ตลอด ๕๕ ปี
วันหนึ่งได้เห็นพระกังขาเรวตเถระนั่งพักกลางวัน ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา จึงเอาผมของตนปิดตัวเข้าไปหาท่าน ขอน้ำดื่ม ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันตั้งแต่ตายมา
จากมนุษยโลก ยังไม่ได้บริโภคข้าวหรือดื่มน้ำเลย ตลอดเวลา ๕๕ ปี
แล้ว ขอท่านจงให้น้ำดื่มแก่ดิฉันผู้กระหายน้ำด้วยเถิด
พระเถระกล่าวว่า
แม่น้ำคงคามีน้ำเย็นใสสะอาด ไหลมาแต่ป่าหิมพานต์ ท่านจงตักเอาน้ำ
จากแม่น้ำคงคานั้นดื่มเถิด จะมาขอน้ำกะเราทำไม
นางเปตรกล่าวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ หากดิฉันตักน้ำในแม่น้ำคงคานี้เองไซร้ น้ำนั้นย่อมกลับ
กลายเป็นเลือดปรากฏแก่ดิฉัน เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงขอน้ำจากท่าน
พระเถระถามว่า
ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจหรือ น้ำในแม่น้ำคงคาจึง
กลายเป็นเลือดปรากฏแก่ท่าน?
นางเปรตนั้นกล่าวว่า
ดิฉันมีบุตรคนหนึ่งชื่ออุตตระ เป็นอุบาสกมีศรัทธา เขาได้ถวายจีวร
บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่งและคิลานปัจจัย แก่สมณะทั้งหลายด้วยความไม่พอใจของดิฉัน ดิฉันถูกความตระหนี่ครอบงำแล้ว ด่าเขาว่า เจ้าอุตตระ เจ้าถวายจีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่งและคิลานปัจจัย แก่สมณะทั้งหลายด้วยความไม่พอใจของเรา ขอสิ่งนั้น จงกลายเป็นเลือด ปรากฏแก่เจ้าในปรโลก
เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น น้ำในแม่น้ำคงคาจึงกลายเป็นเลือดปรากฏแก่ดิฉัน
หลังจากนั้น ท่านพระเรวตะได้ถวายน้ำดื่มแก่ภิกษุสงฆ์ อุทิศนางเปรตนั้น เที่ยวไปบิณฑบาต รับภัตต์แล้วได้ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย พระเถระหาเก็บผ้าที่เขาทิ้งจาก กองหยากเยื่อเป็นต้น เอามาซักแล้วทำให้เป็นฟูกและหมอน ถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วอุทิศบุญแก่นางเปรตนั้น ด้วยการเพียรพยายามทำบุญหลายอย่างของพระเถระ นางเปรตนั้นจึงได้ทิพยสมบัติ
เมื่อนางพ้นจากความทรมานแล้ว เข้าไปหาพระเถระ แสดงทิพยสมบัติที่ตนได้แก่พระเถระ
พระเถระแสดงประวัติของนางเปรตนั้นแก่บริษัท ๔ ผู้มายังสำนักตน แล้วแสดงธรรมกถา ด้วยเหตุนั้น มหาชนจึงเกิดความสังเวชเป็นผู้ปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน ยินดียิ่งในกุศลธรรมมีทานและศีลเป็นต้น
อธิบายเพิ่ม
อวิชชา ทิฏฐิมานะ มันสามารถคิดได้ทุกอย่าง สามารถทำได้ทุกอย่าง มันสามารถเชื่อความดีความชั่วก็ได้ หรือมันสามารถไม่เชื่อความดีความชั่วก็ได้ มันสามารถเชื่อนรกสวรรค์ก็ได้ มันสามารถไม่เชื่อนรกสวรรค์ก็ได้ หากมันไม่เชื่อ มันก็พาทำอย่างที่มันไม่เชื่อ หากมันเชื่อ มันก็พาทำอย่างที่มันเชื่อ เช่นพาทำบุญก็ได้ ไม่แปลกที่สรรพสัตว์ทั้งหลายจะเชื่อนรกสวรรค์หรือไม่เชื่อนรกสวรรค์
หากสรรพสัตว์ยอมรับกฎธรรมชาติ คือหลักปฏิจจสมุปบาทว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งเกิดสิ่งนี้จึงเกิด เพราะนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ เราจะเห็นว่าธรรมชาติไม่มีอะไรสูญหายเลยแม้แต่นิดเดียว แม้เพียงความคิดขณะเดียวก็เป็นพลังงานแล้ว สสารและพลังงานไม่มีอะไรสูญ เกิดเพื่อดับ ดับเพื่อเกิด
หากสรรพสัตว์รู้ว่า ไม่มีอะไรสูญด้วยปัญญาแล้ว จะระวังสิ่งที่จะเกิดจากนี้ แล้วจะสำรวมกายวาจาใจให้ก่อแต่พลังงานที่ดี หากเชื่อด้วยอวิชชา ด้วยทิฏฐิมานะ มันก็จะพาทำตามที่มันเชื่อเช่นทำดีตามความจำเป็น ทำชั่วตามความจำเป็น
จะมีเปรตสักกี่ตนที่โชคดี จะได้เจอพระที่ประเสริฐอย่างนางเปรตนี้ ส่วนใหญ่บรรดาเปรตทั้งหลายต่างก็ได้รับผลแห่งความเก่งกาจ อวดดีอวดเก่งของตนจนสิ้นอายุไขย หากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ยังไม่เข็ด อวิชชาทิฏฐิมานะก็พาเป็นอย่างเดิมอีก
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=3835&Z=3859