
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Vutthisutta Upama Sari
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง วุฏฐิสูตร
การแก้ปัญหาด้วยเหตุผลมักไม่จบง่าย แต่การแก้ปัญหาด้วยธรรมะจะจบลงด้วยดี
หลังออกพรรษาที่วัดเชตวันมหาวิหาร พระนครสาวัตถี พระสารีบุตรจะออกจาริกไปโปรดพุทธบริษัทตามเมืองต่างๆ ทูลลาพระผู้พระภาคเจ้าแล้ว ก็ออกไปพร้อมลูกศิษย์ของท่านจำนวนมาก พระภิกษุสงฆ์ในวัดเชตวัน พระพระผู้ใหญ่และพระผู้น้อยเป็นจำนมาก ต่างก็ออกไปส่งพระเถระ ท่านก็ทักทายพระรูปนั้นรูปนี้ตามชื่อสกุลแล้วก็บอกให้กลับ
ในจำนวนพระมากมายเหล่านั้น พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ก็อยากให้พระสารีบุตรเถระ ทักท่านบ้าง แต่เพราะพระเป็นจำนวนมาก พระเถระจึงมองไม่เห็นแล้วก็ไม่ได้ทัก จึงน้อยใจว่าพระเถระไม่ให้ความสำคัญตน ขณะที่ท่านพระเถระเอี้ยวตัวทักพระรูปนั้นรูปนี้ ปลายชายจีวรก็พริ้วไปถูกตัวพระหนุ่มรูปนั้น ทำให้พระหนุ่มนั้นซึ่งไม่ชอบที่พระเถระไม่ทักตนอยู่แล้ว จึงกลายเป็นแค้น แค่ปลายจีวรถูกตัวท่านก็เป็นเรื่องใหญ่ หาว่าพระสารีบุตรมีเจตนาทำร้ายท่าน
พระสารีบุตรพร้อมลูกศิษย์กำลังจะพ้นประตูวัดเชตวัน พระหนุ่มนั้นเห็นว่า หากชักช้า พระสารีบุตรก็จะลอยนวล จะต้องเอาพระสารีบุตรมาขอโทษตนให้ได้ จึงรีบมาเฝ้าพระพุทธเจ้า จะเอาเรื่องพระสารีบุตรให้ได้
พอกราบทูลพระพุทธเจ้าเสร็จ พระองค์ก็ตรัสบอกพระที่อยู่ใกล้ๆนั้น ให้ไปตามพระสารีบุตรกลับก่อน
พระมหาโมคคัลลานเถระกับพระอานนทเถระ จึงประกาศให้พระในวัดเชตวันมาประชุมที่ลานธรรม
เมื่อพระสารีบุตร มาถึงเฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็บอกว่า มีพระภิกษุรูปหนึ่งฟ้องว่า เธอทำร้ายแล้วไม่ยอมขอโทษก็รีบออกจากวัดไป
พระสารีบุตรเถระ แทนที่ท่านจะตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้ทำร้ายพระรูปนั้นเลย พระเจ้าข้า” กลับตอบว่า (แปลตามฉบับภาษาอังกฤษ) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นไปได้อย่างไรที่ภิกษุผู้มีสติอยู่ในกายตลอดเวลา(กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน)กระทบเพื่อน
สพรหมจรรย์ ยังไม่ทันขอโทษแล้วหลีกไปสู่จาริก พระเจ้าข้า
แปลอีกครั้งว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีสติพิจารณากายอยู่ตลอดเวลา เห็นกายเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เป็นไปได้อย่างไรที่กายนี้ไปกระทบเพื่อนพระด้วยกันแล้วไม่ขอโทษก่อนแล้วหนีไป (ขนาดมีสติอยู่ตลอดเวลาขนาดนี้ แล้วกายนี้ไปกระทบเพื่อนพระด้วยกันได้อย่างไร เมื่อไหร่ ไม่รู้เลย)
เพื่อแสดงถึงความรู้สึกของท่านแม้ถูกใส่ร้ายแต่ก็ไม่มีความรู้สึกโกรธว่า ชนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถ(อุจจาระ ของเน่าเหม็น)บ้าง มูตร(ปัสสาวะ บ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังสิ่งนั้น แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอเหมือนแผ่นดินอันไพบูลย์
กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นไปได้อย่างไรที่ภิกษุผู้มีสติอยู่ในกายตลอดเวลา(กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) กระทบเพื่อนสพรหมจรรย์ ยังไม่ทันขอโทษแล้วหลีกไปสู่จาริก พระเจ้าข้า
แล้วท่านเปรียบเทียบตนเหมือน น้ำ ไฟ ลม อีก มีความดัง “ดิน” ที่กล่าวแล้ว ถึงท่านจะมีใจหนักแน่นไม่หวั่นไหว เข้มแข็งขนาดไหนก็ตาม ท่านก็ไม่เคยเย่อหยิ่ง ไม่เคยคิดว่าตนแข็งแกร่งแล้วจะทำอะไรใครก็ได้ แต่ตรงกันข้าม พระเถระกลับอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ ดังที่ท่านเปรียบเทียบตนเอง ดังนี้
ท่านเปรียบตนเหมือนผ้าเช็ดธุลี
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าสำหรับเช็ดฝุ่นธุลี ย่อมเช็ดชำระสิ่งของสะอาดบ้าง ไม่
สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ผ้าเช็ดฝุ่นธุลี
ก็ไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังสิ่งนั้น แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือน
กันแล มีใจเสมอเหมือนผ้าสำหรับเช็ดฝุ่นธุลีอันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ (ข้าพระองค์มีใจเหมือนผ้าเช็ดฝุ่นละออง เช็ดทั้งของสะอาด ไม่สะอาด เช็ดอุจจาระ ปัสสาวะ ของเน่าเหม็น เช็ดน้ำลาย น้ำหนอง เลือด ผ้าก็ไม่เคยอึดอัดเอือมระอาหรือเกลียดชังสิ่งเหล่านั้นเลย ใจของข้าพระองค์ก็เหมือนผ้านั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเป็นไปได้อย่างไรที่ภิกษุผู้มีสติอยู่ในกายตลอดเวลา(กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) กระทบเพื่อนสพรหมจรรย์ ยังไม่ทันขอโทษแล้วหลีกไปสู่จาริก พระเจ้าข้า
พระเถระท่านอ่อนน้อมถ่อมตัวเหมือนเด็กจัณฑาลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลูกชายหรือลูกหญิงของคนจัณฑาลถือตะกร้า นุ่งผ้า
เก่าๆขาดๆ เดินไปตามหมู่บ้านหรือนิคม(เพื่อขอทาน) ย่อมตั้งจิตนอบน้อมเข้าไป แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยลูกชายหรือลูกหญิงของคนจัณฑาล (นอบน้อมอย่าง)ไพบูลย์(นอบน้อมอย่าง)กว้างใหญ่
(นอบน้อมอย่าง)ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร(ไม่กล้าคิดร้าย) ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ (ไม่กล้าทำร้ายใคร)
ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนโคเขาขาด
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โคเขาขาด สงบเสงี่ยม ได้รับฝึกดีแล้ว ศึกษา
ดีแล้ว เดินไปตามถนนหนทาง ตามตรอกเล็กซอกน้อย ก็ไม่เอาเท้าหรือเขา
กระทบอะไรๆ แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอโคเขา
ขาด อันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
(ข้าพระองค์เหมือนโคเขาขาด แต่เจ้าของฝึกอย่างดี เป็นโครู้ผิดรู้ถูก จึงสงบเสงี่ยมเจียมตัว “เพราะไร้เขา” ไม่กล้าเอาขาไประรานอะไร ไม่เอาเขาขาดๆนั้นไปชนอะไร (ข้าพระองค์จึงไม่กล้าไปกระทบกับเพื่อนภิกษุด้วยกันแน่นอน)
พระเถระคิดเสมอว่ากายท่านเป็นแค่ของเน่าๆ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญิงสาวหรือชายหนุ่มวัยรุ่น เป็นคนชอบประดับตบ
แต่ง พึงอึดอัดระอาเกลียดชังซากศพงู หรือซากศพสุนัขที่เขาผูกไว้ที่คอของตน
แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมอึดอัดระอาและเกลียดชัง
กายอันเปื่อยเน่านี้ (ข้าพระองค์ ไม่กล้าที่จะเอากายเน่าๆนี้ ไปทะเลาะกับใครเลย)
พระเถระมองเห็นกายของท่านหม้อทะลุเป็นรูเล็กรูน้อยเก็บน้ำมันไม่อยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนประคองภาชนะมันข้น มีรูทะลุเป็นช่องเล็ก
ช่องใหญ่ ไหลเข้าไหลออกอยู่ แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
ย่อมบริหาร(ประคอง)กายนี้มีรูทะลุเป็นช่องเล็กช่องใหญ่ ไหลเข้าไหลออกอยู่ (พระเถระมองกายตนเหมือนหม้อเก่าๆมีรูทะลุรอบเก็บนำ้มันไว้ใช้ไม่ได้ ราคาไม่มี ไม่ใช่เป็นของที่ใครอยากได้ จิตของท่านเหมือนหม้อทะลุไร้ราคานี้ จะกล้าไปทะเลาะกับใคร)
พระเถระผู้ยิ่งใหญ่แห่งปัญญา อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ทั้งเทวดาและมนุษย์เคารพนับถือมาก ไม่เคยถือตัว ใจหนักแน่นเหมือนดิน น้ำ ไฟ ลม อ่อนน้อมถ่อมตัวอยู่ตลอดเวลาเหมือนเด็กจัณฑาลเดินขอทานด้วยใจอ่อนน้อม เหมือนผ้าขี้ริ้วไว้เช็ดสิ่งของ อยู่กับกายอันเน่าๆแถมมีรูรั่วทั่วทั้งกาย จะกล้าเถียงใคร จะกล้าทะเลาะกับใคร
พระเถระกล่าวถึงตนเองเป็นอย่างนี้ ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า จึงไม่กล้าเบียดเบียนใคร แต่พร้อมที่จะขอโทษ หากได้ล่วงเกิน
ขณะที่พระเถระกล่าวแต่ความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีการโอ้อวดหรือยกตนข่มใครเลย พระอริยะทั้งหลายถึงกับสังเวชใจ พระปุถุชนถึงกับร้องไห้ ส่วนพระภิกษุที่กล่าวใส่ร้ายพระเถระรู้สึกผิดมากจนแทบจะละลายตรงนั้น รีบก้มกราบแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า สารภาพผิด กราบขอโทษ เพราะตนโง่เขลาจึงทำอย่างนั้นไป
พระพุทธเจ้า จึงให้พระสารีบุตรยกโทษให้พระภิกษุหนุ่มนั้น พระเถระ นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี(ประนมมือ)ต่อพระภิกษุนั้นแล้วกล่าวยกโทษ และท่านก็ขอโทษด้วย หากโทษอาจจะมี
อธิบายธรรมเพิ่ม
พระเถระเป็นแบบอย่าง เป็นตัวอย่างสำหรับท่านที่ต้องการความเจริญ ต้องการความสุข ทั้งในระดับครอบครัวและเพื่อนฝูง ตลอดในที่ทำงานและกิจกรรมอื่นเป็นต้น
ธรรมะเท่านั้น จะแก้ปัญหาได้ถูกต้อง จบ สงบ สุข หากเราเอาเหตุผลมาสู้กัน ต่างก็มีเหตุผลทั้งนั้น แต่ทำไมเหตุผลของเรา ทำให้เราเป็นทุกข์ ทำให้เราก่อเวรกัน ทำให้เราเกลียดกัน เหตุผลทำเพื่อนเลิกเป็นเพื่อน เหตุผลทำให้สามีภรรยาเลิกกัน เหตุผลทำให้แตกสามัคคีกัน
พระสารีบุตรเถระเป็นแบบอย่างในการแก้ปัญหาระหว่างคน โดยทำตัวเล็กๆ เล็กมากๆ แต่ยิ่งใหญ่ พระเถระแม้ถูกใส่ร้ายก็ไม่โกรธ กลับหนักแน่น แข็งแกร่งกลับอ่อนน้อมถ่อมตน และพร้อมเสมอที่จะขอโทษ และยอมเป็นฝ่ายนั่งลงประคองอัญชลีก่อนต่อผู้ที่ไม่ชอบท่าน
ลองมองตนเองว่าเป็นคนผิดบ้าง ลองมองตนว่า หากเราไม่ทำอย่างนี้เรื่องอย่างนี้ก็ไม่เกิด ถึงไม่ผิดเลยแต่มันกลายเป็นปัญหา ก็ต้องหยุดเพื่อดับปัญหา เหมือนพระเวสสันดร ยอมทุกเรื่อง ลำบากแค่ไหนก็ยอม ดีกว่าเป็นส่วนให้เกิดปัญหา ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน การยอมไม่ใช่แพ้ แต่มันคือความชนะที่ยิ่งใหญ่
การคิดว่าตนเองถูก และถูกทุกเรื่องเลย เราจะไม่มีวันสงบสุขเลย
พระสารีบุตร ท่านยอมที่ประเสริฐที่สุด เพราะท่านหนักแน่นเหมือนดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยจิตที่แท้จริง ถ่อมตนเหมือนเด็กจัณฑาลเดินขอทาน และมองว่า กายนี้เป็นของเน่าๆ จะเกิดประโยชน์อะไรที่เอาไปทะเลาะใคร
คิด มีสติกับตนเสมอ ดังนี้
๑. ทำตัวให้หนักแน่นด้วยความรู้
๒. อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ
๓. กายเน่าๆนี้ มีเวลาจำกัด เจ็บป่วยเสมอ ยังจะมีเวลาไปทะเลาะกับใครอีก ซึ่งไม่ได้อะไรเลย เพราะไม่นานกายเน่าๆนี้ก็กลายเป็นดินแล้ว
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=7916&Z=8017
ช่วงท้าย เอาคำอธิบายในอรรถกถามาอ่านประกอบด้วยเพื่อให้เห็นชัด