Buddhadhamma Tepitaka Suppabuddhakutthi ii 91921 8 31 PM
Buddhadhamma Tepitaka Suppabuddhakutthi ii 91921 8 31 PM
popularity:0
  • Description

Buddhadhamma Tepitaka Suppabuddhakutthi ii 91921 8 31 PM

ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก

เรื่อง สุปปพุทธกุฏฐิสูตร

ตอนด่าพระ หัวโล้นขี้เรื้อน

ลำดับนั้นแล หลังจากชายโรคเรื้อน

สุปปพุทธกุฏฐิ ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า บรรลุโสดาบันแล้ว เขาตั้งมั่นในธรรม เป็นผู้อาจหาญ ร่าเริง ด้วย

ธรรมีกถา ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคยิ่งนัก ลุกจากที่นั่งของตนไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้ว ทูลลาพระองค์แล้วออกจากวัดเวฬุวันไป

ภาวะของพระโสดาบันยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่เกินกว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ที่จะเดินระเหเร่ร่อนขอทานอีกต่อไป

ครั้งนั้นแล แม่โคลูกอ่อน คู่เวรแต่ชาติปางก่อน เห็นนายสุปปพุทธกุฏฐิ ผู้เพิ่งเดินออกจากวัดไปไม่นาน ก็วิ่งเข้าชนอย่างแรง เขาล้มลงแล้ว สิ้นชีวิตทันที

ต่อมา ภิกษุมากรูปด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นายสุปปพุทธกุฏฐิ ที่พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว กระทำกาละ คติของเขาเป็นอย่างไรหนอ ภพหน้าของเขาเป็นอย่างไรหนอ พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ตอบว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิ เป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และไม่เบียดเบียนเราให้ลำบากเพราะธรรมเป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุปปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบันแล้ว เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งสาม (คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส)มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้(ธรรมชั้นสูง)ในเบื้องหน้า ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้นายสุปปพุทธกุฏฐิเป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้

พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ตอบว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีแล้ว

สุปปพุทธกุฏฐิ เป็นเศรษฐีบุตร อยู่ในกรุงราชคฤห์นี้แล เขาออกไปยังสวนสาธารณะ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

นามว่าตครสิขี กำลังเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนคร ครั้นแล้วเขาดำริว่า ใครนี่ เป็นโรคเรื้อน ห่มผ้าสกปรก เดินไปทั่ว เขาถ่มน้ำลาย(ใส่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น)แล้วเดินแซงท่านไปข้างเบื้องซ้าย

เขาทำกาละแล้ว หมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นปีเป็นอันมาก หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีเป็นอันมาก เพราะเศษผลแห่งกรรมนั้นยังเหลืออยู่ เขาจึงได้เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้ อยู่ในกรุงราชคฤห์นี้แล (บัดนี้) เขาอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ตั้งมั่นในศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ครั้นอาศัยธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วตั้งมั่นศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นผู้เข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาย่อมไพโรจน์ล่วงเทวดาเหล่าอื่นในชั้นดาวดึงส์นั้นด้วยวรรณะและด้วยยศ ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ในสัตวโลกนี้ คนฉลาด เมื่อยังมีความบากบั่นอยู่ควรละเว้นบาปทุกอย่าง

เหมือนคนตาดีละเว้นทางขรุขระ ฉะนั้น ฯ

อธิบายธรรม

เกิดเป็นลูกคนรวยมาก สุขสบายมาก เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ เหมือนมีเวลาเยอะ เช้าวันนี้ก็ออกไปเล่นกีฬาที่สวนสาธารณะกับลูกน้องเป็นจำนวนมาก อากาศเช้าๆ ยังเย็นสบายๆอยู่ กำลังเพลิดเพลินกับสวนที่สวยงามและการเล่นต่างๆ ทันใดนั้น ตาก็เหลือบไปเห็นพระตครสิขีปัจเจกพุทธเจ้า กำลังเดินบิณฑบาต ไม่เร็วนักไม่ช้านักด้วยความสำรวจ ดูงามมาก แต่ใจของหนุ่มสำราญ กลับมองเห็นพระเหมือนหนามแทงตาประมาณนั้น หงุดหงิดมาก คิดว่า ใครนี่ หัวโล้น ครองผ้ากาสาวะ ดูเหมือนเป็นคนโรคเรื้อน เอาผ้าของคนโรคเรื้อนคลุมร่างกายเดินไป แล้วรีบเดินไปทางเบื้องซ้ายของพระปัจเจกพุทธเจ้า กล่าวผรุสวาว่า “เจ้าหัวโล้น ครองผ้ากาสาวะ ดูเหมือนเป็นคนโรคเรื้อน เอาผ้าของคนโรคเรื้อนคลุมร่างกาย เดินไปทั่ว” แล้วถ่มน้ำใส่ท่าน แล้วเดินจากไปอย่างสนุกสนาน

การเดินอ้อมไปทางซ้ายเป็นการดูถูก เหยียดหยาม หนุ่มนี้ แสดงดูถูกพระด้วยการเดินไปทางซ้าย แล้วด่าท่านอีกด้วยความสนุกสนานคะนองปาก

บัณฑิตทั้งหลายเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จะไหว้แล้วกระทำประทักษิณ เดินเวียนไปทางขวา แต่บุรุษโรคเรื้อนนี้เดินไปทางซ้ายพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น คือให้ท่านอยู่ด้านซ้ายมือตนเดินไปด้วยความดูหมิ่น เพราะความที่ตนไม่เป็นวิญญูชน

ตอนด่าพระ สนุกสนาน สรรหาคำต่างๆมาด่าท่าน เพื่อแสดงถึงความฉลาดของตน เพื่อแสดงถึงว่าตนนั้นดีกว่าพระหลายเท่า พระไม่เป็นโรคเรื้อน แต่ตาของคนนั้นก็เห็นว่าเป็นโรคเรื้อน ท่านห่มผ้าไร้สีไร้กลิ่นอันฉูดฉาด ก็เห็นว่าผ้าคนขี้เรื้อน

มีคนมากมาย คิดว่าตนดีกว่าพระพวกนี้มาก จึงด่าพระพวกนี้อย่างไม่เคอะเขิน เพราะคนดีย่อมดีวันยันคำ่ ทำอะไรต้องดีเสมอไป พระพวกนี้ไม่ดีไม่มีค่าพอที่จะพูดด้วยคำไพเราะ แต่เขาไม่รู้ว่า คำพูดหยาบคาย คำดูถูกด่าว่า คำเสียดสีต่ำต้อยนั่น ไม่ใช่ของพระ แต่เป็นของคนที่พูดนั้นเอง

อารมณ์ที่เกิดอยู่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คือรูปแบบของกรรมที่ใจสร้างขึ้น แม้เป็นสิ่งดีงาม แต่ใจสร้างแบบกรรมที่เลวร้าย ความเลวร้ายคือจิต กรรมจึงเป็นไปตามที่จิตออกแบบ ดีชั่วที่ปากเราสร้างให้ผู้อื่นจึงไม่ใช่ดีชั่วของคนที่เราด่าให้ เขาไม่ได้ดีชั่วตามปากของเรา ไม่มีใครในทุกจักรวาลที่ปั้นผู้อื่นได้ด้วยปากเรา เช่นเดียวกัน ปากเราไม่อาจปั้นเราให้เป็นคนดีดังปากเราโฆษณาว่าเราคือคนดีได้

ดังนั้น คนถูกด่าหรือถูกชมนั้น หากเอาคำพูดของผู้อื่นเป็นยาวิเศษแล้ว ก็สามารถเป็นอย่างนั้นได้ เช่นหากถูกด่าว่า คนชั่ว เราไม่ใช่คนชั่ว แต่เพราะไร้ปัญญาจึงโกรธ แล้วทำความชั่วจริงๆ เราก็เลยแปลงกายเป็นคนชั่วอย่างเขาว่าจริงๆ

คนฉลาดจึงควรกลัวกรรมให้มาก ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า

ในสัตวโลกนี้ คนฉลาด เมื่อยังมีความบากบั่นอยู่ควรละเว้นบาปทุกอย่าง

เหมือนคนตาดีละเว้นทางขรุขระ ฉะนั้น

คนผู้มีตาดี มีร่างกายแข็งแรง เดินไปไหนมาไหน เห็นสถานที่ไม่สม่ำเสมอ มีหลุ่มบ่อ มีเหวเป็นต้น ก็หลบหลีกได้ หรือเห็นสัตว์ เช่น ช้าง ม้า งู ไก่ และโคเป็นต้น ที่อาจจะเป็นอันตรายได้ ฉันใด บัณฑิต คือบุรุษผู้มีปัญญาในชีวโลก คือในสัตวโลกนี้ ก็ฉันนั้น เมื่อรู้ประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน เพราะความเป็นผู้มีปัญญานั้น พึงเว้นบาปทั้งหลาย คือทุจริตลามก

นายสุปปพุทธกุฏฐิ โชคดีได้พระพุทธเจ้าช่วย เพราะกรรมดีของเขามีอยู่จึงน้อมใจเชื่อพระธรรมเทศนาของพระองค์ เขาพ้นจากความทรมานแล้วด้วยโสดาบัน ตอนนี้เป็นเทวดาที่งดงามยิ่งนัก

อ้างอิง

https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=25&A=2900

ข้อ ๑๑๔

 

weiter mit Dhamma Podcast Wat Dhammavihara Hannover

You may also like...

Popular Articles...