
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Vatamiga jataka
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง วาตมิคชาดก
ติดรสชาติอาหารก็ขาดปัญญา
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัยพระนครราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน
วันหนึ่ง บุตรของตระกูลเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากชื่อว่า ติสสกุมาร ไปพระวิหารเวฬุวัน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เกิดความเลื่อมใสมาก แล้วประสงค์จะบวช จึงทูลขอบรรพชา แต่บิดามารดาไม่อนุญาต จึงอดอาหารประท้วง ผ่านไป ๗ วัน บิดามารดายอมอนุญาต
พระศาสดา ครั้นทรงให้ติสสกุมารนั้นบวชแล้ว ประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน ประมาณกึ่งเดือน แล้วได้เสด็จไปพระ
วัดวิหารเชตวันพร้อมกับพระภิกษุใหม่นั้น
ในวัดพระเชตวันนั้น พระภิกษุหนุ่มนี้สมาทานธุดงค์(ถือธุดงค์) ๑๓ ข้ออย่างเคร่งครัด เดินบิณฑบาตตามลำดับตรอก ในนครสาวัตถี กาลเวลาผ่าน หมู่คนทั้งหลายจึงเรียกว่า พระจูฬบิณฑปาติกติสสเถระ เป็นผู้มีชื่อเสียงมากรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา เหมือนพระจันทร์เพ็ญในพื้นท้องฟ้า ฉะนั้น
วันหนึ่ง เมื่อกาลเล่นนักขัตฤกษ์ งานประจำปีของนครราชคฤห์ กำลังดำเนินไปอยู่นั้น บิดามารดาของพระเถระ เก็บสิ่งของอันเป็นเครื่องประดับซึ่งเคยเป็นของพระเถระสมัยเป็นคฤหัสถ์ไว้ในผอบเงิน วันนี้ ทั้งบิดามารดาเอาเครื่องประดับนั้นมาวางไว้ที่อก ร้องไห้ พลางพูดว่า ในการเล่นนักขัตฤกษ์ปีก่อนๆ บุตรของพวกเรานี้ประดับด้วยเครื่องประดับนี้ เล่นนักขัตฤกษ์ แต่พระสมณโคดมพาเอาบุตรน้อยนั้นของพวกเราไปยังพระนครสาวัตถี เสียแล้ว บัดนี้ บุตรน้อยของเรานั่งที่ไหนหนอ ยืนที่ไหนหนอ
วันนั้นเอง นางวัณณทาสีคนหนึ่งเข้าไปบ้านหลังนั้น เห็นภรรยาของเศรษฐีกำลังร้องไห้อยู่ จึงถามว่า
แม่เจ้า ท่านร้องไห้ทำไมหรือ?
ภรรยาของเศรษฐีจึงเล่าเรื่องที่ตนร้องไห้แก่นางวัณณทาสีฟังทั้งหมด
แม่เจ้า ก็พระลูกชายแม่ท่านชอบอะไร รักอะไรบ้างจ๊ะ
ลูกชายแม่ชอบอันนั้น รักอันนั้นจ๊ะลูก อันนี้ พระลูกชายแม่ก็ชอบนะจ๊ะ
แม่จ๊ะ ถ้าแม่มอบอำนาจทั้งหมดในบ้านหลังนี้ ให้หนูจัดการ หนูจะนำพระลูกชายมาให้แม่ ให้ได้เลยจ๊ะ
ภรรยาท่านเศรษฐีดีใจที่หญิงสาวนี้อาสาจะพาพระลูกชายกลับบ้าน จึงรีบรับคำ “ได้จ๊ะ” ทันที
แล้วนางก็เตรียมอุปกรณ์สิ่งของต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ในการพาพระลูกชายกลับมา ให้หญิงสาวนั้น
ภรรยาเศรษฐี ส่งนางวัณณทาสีกับหญิงสาวบริวารจำนวนมาก เดินทางไปเมืองสาวัตถี พร้อมสัมทับว่า
หนู พาลูกชายของแม่มาให้ได้นะ ทำอย่างไรก็ได้ขอให้ได้ลูกชายกลับคืนมา
นางวัณณทาสีนั้นนั่งในยานน้อยอันปกปิดมิดชิด เดินทางไปนครสาวัตถี ระยะทางเดินนั้นประมาณ ๕๐๐ กิโลเมตร เมื่อถึงนครสาวัตถีแล้ว ก็ไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ถนนที่พระเถระเที่ยวบิณฑบาตเป็นประจำ นางกำชับคนจากบ้านเศรษฐีมิให้ปรากฎตัวให้พระเถระเห็น นอกจากคนที่เป็นบริวารของตนเท่านั้นที่นางให้พระเถระเห็นได้
เมื่อพระเถระเข้าไปบิณฑบาตตามถนนเส้นนั้น นางได้ถวายยาคูหนึ่งกระบวยและภิกษามีรสอร่อยที่พระเถระเคยชื่นชอบสมัยเป็นฆรวาส
แม้ว่าท่านจะปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ฝึกปล่อยวางอยู่ตลอดเวลา แต่สัมผัสเดิมนั้นวิ่งพล่านไปทั่วสรีระของพระเถระอย่างง่ายดาย เพียงรสอาหารแรกที่สัมผัสลิ้น จิตของท่านก็ชื่นชอบจนคิดพรุ่งนี้ว่าจะมาอีก
รสอาหาร ทำให้พระเถระคุ้นเคยกับหญิงสาวนั้น แรกๆ นางออกมาใส่บาตรนอกบ้าน แล้วค่อยๆนิมนต์เข้าบ้านให้นั่งในเรือนถวายภิกษา โดยลำดับ
พอรู้ว่า พระเถระตกอยู่ในเงื้อมมือของตนแล้ว จึงทำทีเป็นไข้นอนอยู่ภายในห้องไม่ออกมาใส่บาตร
ฝ่ายพระเถระเที่ยวไปตามลำดับตรอก ในเวลาบิณฑบาต จนถึงประตูเรือนของนาง หญิงรับใช้บริวารของนางก็ออกมารับบาตรของพระเถระ แล้วนิมนต์พระเถระให้นั่งในเรือน
พระเถระนั่งแล้ว มองหานาง แต่ไม่เห็น จึงถามว่า อุบาสิกาไปไหนหรือ?
ท่านผู้เจริญ อุบาสิกาเป็นไข้เจ้าคะ นิมนต์ท่านไปเยี่ยมหน่อยเจ้าคะ หญิงรับใช้ตอบ
พระเถระถูกตัณหาในรสผูกพัน ลืมทุกอย่างที่เคร่งครัด เข้าไปยังห้อง ที่หญิงสาวนั้นนอนอยู่ นางพอรู้ว่าพระเถระมาเยี่ยมตนถึงห้อง จึงประเล้าประโลมพระเถระนั้นให้สึก เมื่อสึกแล้ว ท่านก็เชื่อฟังนางทุกประการ
นางพาท่านกลับบ้านเมืองราชคฤห์ ให้นั่งในยาน ด้วยบริวารแวดล้อมอย่างยิ่งใหญ่ การสึกของท่าน กลายเป็นข่าวใหญ่มากในกรุงสาวัตถี อีกทั้งจัดขบวนกลับอย่างเอิกเกริก
พระภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในโรงธรรมสภาวัดเชตวัน สนทนากันขึ้นว่า ได้ยินข่าวว่า นางวัณณทาสีคนหนึ่ง ผูกพระจูฬบิณฑปาติกาติสสเถระ ด้วยตัณหาในรส แล้วพากลับไปเมืองราชคฤห์ ขณะสนทนากันอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จมา
พระองค์เสด็จเข้าไปยังโรงธรรมสภา ประทับบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้ แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเรื่องราวนั้นให้ทรงทราบ
แล้วพระองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ติดในรสตัณหา ตกอยู่ในอำนาจของนางวัณณทาสีนั้น ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ตกอยู่ในอำนาจของนางเหมือนกัน
พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอยากจะฟังว่าเรื่องเป็นอย่างไร จึงกราบทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเล่าเรื่องนั้น
แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ว่า
ในอดีตกาล ในพระนครพาราณสี ได้มีนายอุยยานบาลของพระเจ้าพรหมทัต(เจ้าหน้าที่ราชอุทยาน) ชื่อว่า สัญชัย
ครั้งนั้น เนื้อสมันตัวหนึ่งมายังอุทยาน จะกินหญ้า พอเห็นนายอุยยานบาลคนเฝ้าอุทยาน ก็รีบหนีออกไป ฝ่ายนายสัญชัยมิได้ขู่คุกคามเนื้อสมันนั้น ให้ออกไป เนื้อสมันนั้นเห็นว่าไม่เป็นอันตราย จึงมาเที่ยวในอุทยานนั้นนั่นแลบ่อยๆ
หน้าที่ของนายอุยยานบาล คือนำเอาดอกไม้และผลไม้มีประการต่างๆ มาจากอุทยานแต่เช้าตรู่ ไปเฝ้าพระราชา ทุกวันๆ
ครั้นวันหนึ่ง พระราชาตรัสถามนายอุยยานบาลนั้นว่า ดูก่อนสหายอุยยานบาล เธอเห็นอะไรผิดปกติในอุทยานบ้างไหม?
นายอุยยานบาลกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระบาทไม่เห็นสิ่งอื่น แต่ว่า เนื้อสมันตัวหนึ่งมาเที่ยวอยู่ในอุทยาน ข้าพระบาทได้เห็นสิ่งนี้
พระราชาตรัสถามว่า ก็เธอสามารถจับมันมาได้ไหม?
นายอุยยานบาลกราบทูลว่า ได้ ข้าพระบาท หากได้นํ้าผึ้งหน่อยหนึ่ง จักอาจนำเนื้อสมันนี้มา แม้ยังภายในพระราชนิเวศน์ได้ พระเจ้าข้า
พระราชารับสั่งให้นํ้าผึ้งแก่นายอุยยานบาลนั้น
นายอุยยานบาลได้นํ้าผึ้งแล้ว ก็ไปยังอุทยาน แอบเอานํ้าผึ้งทาหญ้าที่เนื้อสมันเที่ยวหากิน เนื้อสมันมากินหญ้าที่ทาด้วยนํ้าผึ้ง ติดในรสตัณหา ไม่ไปที่อื่น จึงมาเฉพาะอุทยานเท่านั้น
นายอุยยานบาลรู้ว่า เนื้อสมันนั้นติดหญ้าที่ทาด้วยนํ้าผึ้ง จึงค่อยแสดงตนให้เห็นทีละเล็กทีละน้อย เนื้อสมันนั้น ครั้นเห็นนายอุยยานบาลนั้น ๒-๓ วันแรกก็หนีไป แต่พอเห็นเข้าบ่อยๆ จึงคุ้นเคย ถึงกับกินหญ้าที่อยู่ในมือของนายอุยยานบาลได้
นายอุยยานบาลรู้ว่า เนื้อสมันนั้นคุ้นเคยแล้ว จึงเอาเสื่อลำแพนล้อมถนน จนถึงพระราชนิเวศน์ แล้วเอากิ่งไม้หักปักไว้ในตลอดทางให้เห็นเป็นป่าทั้งหมด สะพายนํ้าเต้าใส่นํ้าผึ้ง หนีบกำหญ้า แล้วโปรยหญ้าที่ทาด้วยนํ้าผึ้งลงข้างหน้าเนื้อ จนเข้าไปยังภายในพระราชนิเวศน์
เมื่อเนื้อเข้าไปภายในพระราชวังแล้ว เจ้าหน้าที่วังปิดประตู เนื้อเห็นมนุษย์ทั้งหลายก็ตัวสั่น กลัวตาย จึงวิ่งพล่านไปมา ณ พระลานในภายในพระราชนิเวศน์
พระราชาเสด็จลงจากปราสาท ทอดพระเนตรเห็นเนื้อนั้นตัวสั่น จึงตรัสว่า ธรรมดาแล้ว เนื้อจะไม่ไปยังสถานที่ที่คนเห็นแล้วติดต่อกัน ๗ วัน จะไม่ไปยังสถานที่ที่อันตรายตลอดชีวิต เนื้อสมันผู้อาศัยป่าชัฏอยู่ เห็นปานนี้นั้น ถูกผูกด้วยความอยากในรส มาสู่ที่เห็นปานนี้ ในบัดนี้ ผู้เจริญทั้งหลาย ชื่อว่า สิ่งที่ลามกกว่าความอยากในรส ย่อมไม่มีในโลกหนอ แล้วทรงตรัสว่า
ได้ยินว่า สิ่งอื่นที่จะเลวยิ่งไปกว่ารสทั้งหลาย ย่อมไม่มี รสเป็นสภาพเลวแม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่าความสนิทสนม นายสัญชัยอุยยานบาลนำเนื้อสมันซึ่งอาศัยอยู่ในป่าชัฏ มาสู่อำนาจของตนได้ ด้วยรสทั้งหลาย
พระราชาผู้เป็นพระโพธิสัตว์ตรัสโทษแห่งตัณหาในรส ด้วยประการดังนี้ แล้วจึงทรงให้ปล่อยเนื้อนั้นไปยังป่านั่นตามเดิม
พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
นางวัณณทาสีนั้นผูกภิกษุนั้นด้วยตัณหาในรส กระทำไว้ในอำนาจของตน ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้กระทำแล้วเหมือนกัน
ทรงสรุปชาดกว่า นายสัญชัยในครั้งนั้น ได้เป็นนางวัณณทาสี ในบัดนี้
เนื้อสมันในครั้งนั้น ได้เป็นพระจูฬบิณฑปาติกภิกษุ ในบัดนี้
ส่วนพระเจ้าพาราณสีได้เป็นเรา แล
อธิบายธรรม
รสชาติอาหาร มองเผินๆเหมือนเล็กน้อย แต่จริงแล้ว เป็นความเล็กน้อยที่ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่ระดับชาติเลย ดังที่เราเห็นวิถีชีวิตการกินนั้น คือประเพณี เป็นวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ แม้ย้ายชีวิตไปอยู่ประเทศใด รูปแบบชีวิตอย่างอื่น เราพอเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมของท้องถิ่นนั้นๆได้ แต่การกินนั้น ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลงตามท้องถิ่นนั้นๆ ฝืนทำได้บ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมากินแบบเดิมที่ตนคุ้นเคย
ความเสียหายไม่ได้เกิดเพราะวัฒนธรรมการกิน แต่เกิดเพราะมัวเมา เพลิดเพลิน โดยไม่คำนึงประโยชน์จากอาหาร กินด้วยความอยากอันเกิดจากตัณหาไม่คำนึงถึงคุณค่าของอาหาร จนกลายเป็นการเสพติด
รสคือตัณหานี้ทำลายระบบประสาท ระบบสมองหมดสิ้น และระบบกายอื่นๆเสียสิ้น หากมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย ก็ยากนักที่หลุดพ้น
บวกกับกรรมเก่าด้วยแล้ว ยากนักที่จะฝืนได้ ดังพระจูฬบิณฑปาติกเถระ แม้ท่านบวชด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า บวชแล้วถือธุดงค์อย่างเคร่งครัดมาก จนใครก็รู้ว่าท่านเคร่งธุดงค์ขนาดไหน แต่ก็หนีรสชาติอันคุ้นเคยไม่ได้
กรรมเก่าสองกรรม คือ รสชาติอาหาร กับ นายอุยยานบาล (เจ้าหน้าที่พระราชอุทยาน) หมุนให้เวียนมาพบกันในอีกรูปหนึ่งของกรรม
พระเถระชาติก่อนเป็นกวาง ด้วยผลบุญก่อนหรือหลังเป็นกวาง ชาตินี้เป็นลูกมหาเศรษฐี นายอุยยานบาลชาติก่อนเป็นบุรุษ มาชาตินี้เป็นหญิงสาวสวยมาก แต่เป็นนางวัณณทาสี เป็นหญิงที่ต้องขายความสวยงามของตนเลี้ยงชีพ แต่กรรมก็หมุนให้ทั้งสองมาครองรักกัน แม้จะเป็นคนละฐานะกันก็ตาม คือคนหนึ่งเป็นลูกมหาเศรษฐี อีกคนหนึ่งเป็นหญิงที่เลี้ยงชีพด้วยชีวิตแลก
กรรมที่น่าศึกษาอีกอย่าง คือ การหลอก ใช้กลให้ผู้อื่นหลงงงงวย เป็นการแปลงเพศวิธีหนึ่ง แม้นายอุยยานบาลจะเกิดเป็นสาวสวยมากในชาตินี้ แต่รูปแบบการใช้กลวิธีให้หลง ก็ยังคล้ายเดิม ชาติก่อนใช้กลให้กวางหลงเข้าวังของพระราชา ชาตินี้ใช้กลให้พระหลงเพื่อกลับไปเป็นลูกสุดที่รักของแม่ แต่ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันที่แยกกันไม่ได้ เพราะติดรสอาหารอันเลิศนั้น รสอาหารเป็นกรรมหนุนให้รักกัน
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=14