
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Andabarisutta
ทบทวนธรรม
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง อัณฑภารีสูตร
เกิดเป็นเปรตอัณฑะใหญ่เท่าหม้อ เพราะตัดสินคดีไม่ซื่อตรง
ครั้งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ระหว่างนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระและท่านพระลักขณะเถระ พักอยู่บนภูเขาคิชฌกูฎ นอกเมืองราชคฤห์
เช้าวันหนึ่ง พระเถระทั้งสองลงมาบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ ขณะที่เดินลงมาจากภูเขานั้น ถึงที่แห่งหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระได้เห็นเปรต มีอัณฑะใหญ่มาก ลอยอยู่บนอากาศ ภาพที่เห็นนั้น เปรตกำลังเดินแบกอัณฑะของตนซ่อนแร้ง กา นกทั้งหลายที่เยื้อแย่งกันจิกกินอัณฑะนั้น เปรตนั้นต้องแบกอัณฑะหนีบ้าง นั่งทับซ่อนไว้บ้าง แต่ก็ไม่มิดเพราะอัณฑะใหญ่มาก
ทรมานมาก เพราะไม่มีเวลาว่างจากการเจ็บปวดจากสัตว์เหล่านั้น อีกทั้งการแบกหนีสัตว์เหล่านั้นก็เหน็ดเหนื่อย หนักมากด้วย (ด้วยผลกรรมที่เคยผลักความทุกข์แก่ผู้อื่น)
พระเถระเห็นดังนั้น จึงแย้มริมฝีปากเล็กน้อยตามปกติวิสัยของพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านพระลักขณะเถระเห็นดังนั้น จึงถามว่า “ทำไมท่านแย้มอย่างนั้น” ท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระ ตอบว่า ไว้ไปถามที่วัดเวฬุวัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ด้วยดีกว่า
เมื่อบิณฑบาตเสร็จ และฉันเรียบร้อยแล้ว พระเถระทั้งสองจึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วท่านพระลักขณะเถระก็ได้ถามปัญหาเหมือนเดิมอีก
พระมหาโมคคัลลานะเถระจึงเล่าเรื่องที่ได้เห็นนั้นให้ฟัง เมื่อฟังจบ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสยืนยันว่าเป็นจริง เพราะองค์ก็เคยเห็น แต่ไม่บอกใคร เพราะเกรงคนไม่เชื่อ เมื่อไม่เชื่อก็จะดูถูกแล้วกล้าทำกรรมชั่วเพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งของตน แล้วก็จะเดือดร้อนเพราะผลกรรม
พระองค์ตรัสบอกกรรมเก่าของเปรตนั้นว่า เคยเป็นคนตัดสินคดีความต่างๆ แต่ตัดสินไม่ซื่อตรง เพราะรับสินบนไว้เยอะ ตายแล้วตกนรกนานมาก เกิดเป็นเปรตเพราะเศษกรรมเท่านั้น
อธิบายธรรมเพิ่ม
คนไม่ซื่อตรง จะเป็นใครก็ตาม ย่อมได้รับผลกรรมแห่งความไม่ซื่อตรงแน่นอน เพราะมันเป็นกฎธรรมชาติ มีเหตุอย่างไรผลก็ต้องเป็นอย่างนั้น
เวลาเอาเปรียบผู้อื่น ได้เปรียบผู้อื่นแล้ว คนผู้เอาเปรียบนั้น อาจจะมีเกียรติ มียศ มีศักดิ์ คนนับถือมากมาย อาจจะมีเงินทองมากมาย จากการไม่ซื่อตรงนั้น ใช้สอยทรัพย์นั้นอย่างสนุกสนาน มีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ
อย่างมาก ก็แค่มีความสุขจากสังคมบริวารเพื่อนพ้องที่นิสัยเหมือนกัน แต่คนเหล่านั้นทั้งหมด จะต้องมีชีวิตอย่างเดียวกันกับเปรตตนนี้แน่นอน รูปแบบการรับกรรมอาจจะแตกต่างกันไป เพราะกฎของธรรมชาติยุติธรรมเสมอ
ผู้สร้างกฎธรรมชาตินั้น ไม่ใช่ใครอื่นใด คือเรานั่นเอง
ยิ่งหลง ยิ่งเพลิดเพลินกับการสร้างวิธีการเอาเปรียบมากเท่าใด ผลกรรมอันเผ็ดร้อน ยิ่งแรงและยาวนาน คนที่ชื่นชอบยินดีตามคนที่เอาเปรียบนั้น ก็ต้องได้รับผลกรรมตามด้วยแน่นอน
คนผู้เห็นผลกรรม ไม่ควรเอาเปรียบใคร ไม่ควรเอาการได้เปรียบทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ทำลายเบียดเบียนผู้อื่น แม้เราจะถูกเอาเปรียบก็ต้องระงับความโกรธ เพราะไม่คุ้มเลยในการก่อเวรที่มันจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทนดีกว่าเพราะผลกรรมที่งดงามคอยอยู่ หมายถึงทนด้วยปัญญา อดทนเพื่อมุ่งมั่นสร้างกรรมดีงามต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ทนเฉยเมย ทนแบบเฉยเมย เป็นความโง่
คนตัดสินคดีความต่างๆ ด้วยอคติ คนสร้างหลักฐานเท็จ ถึงแม้ว่าจะชนะคดี แต่ใจที่เกิดในกายนี้ อาศัยกายนี้ทำตามที่ใจคิด กิริยาอาการแบบใดที่กาย วาจาเคลื่อนไหวตามที่ใจคิดนั้น ถูกบันทึกไว้ในสมองที่กระจายเส้นประสาทไปทุกส่วนของกาย กรรมที่ทำจึงเป็นทุกสัดส่วนของร่างกายนี้ กรรมชรูปเป็นทุกอย่างของกายนี้(จิตเคยอาศัยกายทำอะไร สิ่งที่ทำนั้นจะกลายเป็นกรรมชรูปทั้งชาตินี้และชาติต่อไป) ปริมาณของกรรมวัดที่ปริมาณของจิต คือความรุนแรงของจิต จิตกับกายอยู่ด้วยกันเสมอ(กล่าวกันว่าอรูปพรหม ไม่มีรูป,อสัญญสัตตพรหม ไม่มีจิต) ดังนั้น การที่จะพ้นจากความชั่วจากการกระทำของตนเองจึงไม่มีเลย
สุข ลาภ ยศ สรรเสริญไม่ใช่ผลของจิตดีจิตชั่ว แต่การทำดีทำชั่วก็ได้ สุข ลาภ ยศ สรรเสริญเช่นกัน วิบากจิตคือผลของจิตดีจิตชั่ว จิตเกิดได้เพราะกาย ดังนั้นกายจึงเป็นสถานแสดงกรรมของจิต อันเกิดจากจากจิตชั่ว
คิดแบบเหตุผล คิดแบบตรรกะ(สมเหตุสมผล)ใช้ได้กับวัตถุ แต่ใช้ได้ไม่ถึงจิต เช่นคนขี้เหนียว ไม่บริจาค เขาจะมีทรัพย์มาก(ขี้เหนียวไม่ผิดศีลไม่ผิดกฏหมาย) ไม่ช่วยเหลือผู้อื่น เขาอยู่บ้านสบาย เหตุผลนี้เราเห็นได้ แต่เหตผลของจิต เราวัดไม่ได้ เช่นขี้เหนียวแล้วรวยก็จริง แต่จิตลึกซึ้งกว่านั้น จิตตัวขี้เหนียว มีผลให้คนเกลียด มีผลให้คนไม่อยากช่วยเหลือ(คนขี้เหนียวยามมีปัญหา) มีผลให้ยากจนในวันข้างหน้า(ชาติหน้า) มีผลให้ตกนรก
มนุษย์ส่วนใหญ่มีปัญญาตื้น อีกทั้งยังยึดมั่นในปัญญาตื้นนั้น จึงไม่เชื่อคนที่มีปัญญาสูงกว่าที่เห็นอะไรเหนือกว่าตน อีกทั้งยังถมปัญญาที่ตื้นนั้นให้ตื้นขึ้นมาอีก ด้วยการอธิบายว่า พิสูจน์ไม่ได้
อ้างอิง (รายละเอียดของเรื่องคล้ายใน “อัฏฐิสูตร”ทั้งหมด)
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=16&siri=205