
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Daddallaviman
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง ทัททัลลวิมาน
อานิสงส์ของการถวายสังฆทานด้วยจิตที่บริสุทธิ์
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี
ก็สมัยนั้น กุฎุมพีคนหนึ่ง ชาวบ้านนาลก-คาม เป็นอุปัฏฐากของท่านพระเรวตเถระ มีธิดาสองคน คนหนึ่งชื่อภัททา อีกคนหนึ่งชื่อสุภัททา
ในธิดาสองคนนั้น นางภัททาแต่งงานไปอยู่บ้านสามี นางมีศรัทธาเลื่อมใสฉลาด แต่เป็นหมัน นางภัททาพูดกะสามีว่า ฉันมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง ชื่อสุภัททา พี่แต่งงานกับน้องสาวฉันเถิด หากน้องสุภัททานั้นจะพึงมีบุตร บุตรนั้นก็จะเป็นบุตรของฉันด้วย และวงศ์ตระกูลนี้ก็จะไม่สูญ
สามีทำตามที่ภรรยาบอก
เมื่อสองพี่น้องมาอยู่ด้วยกันในฐานะภรรยาของสามีเดียวกัน นางภัททาได้สอนนางสุภัททาว่า น้องสุภัททา น้องต้องยินดีในการให้ทาน ไม่ประมาทในการประพฤติธรรม เมื่อทำอย่างนี้ ประโยชน์ในปัจจุบันและสัมปรายภพ ก็จะอยู่ในเงื้อมมือของน้องแน่นอน นางสุภัททาเชื่อในโอวาทของพี่สาว ปฏิบัติตามที่พี่สาวสอน
นางคุ้นเคยกับพระเรวตเถระตามบิดาที่อุปัฏฐากมานาน นางนิมนต์ท่านพระเรวตเถระ มาฉันที่บ้าน พระเถระต้องการให้นางสุภัททาได้บุญมาก(อาจเพราะนางนานๆจึงทำบุญครั้งหนึ่ง) จึงพาภิกษุ ๗ รูปไปด้วย รวมกับท่านด้วยเป็นองค์สงฆ์ ๘ รูป ไปเรือนของนาง
นางสุภัททามีจิตเลื่อมใส อังคาสเลี้ยงดูท่านพระเรวตเถระและภิกษุเหล่านั้นด้วยของเคี้ยว ของบริโภคด้วยมือของตนเอง
เมื่อพระเถระฉันเสร็จแล้ว ทำอนุโมทนาเสร็จก็กลับวัด ครั้นต่อมา นางสุภัททาถึงแก่กรรมไปเกิดเป็นนางฟ้าชั้นนิมมานรดี(สวรรค์ชั้นที่ ๕) ส่วนนางภัททาได้ให้ทานในบุคคลทั้งหลาย คือเจาะจงพระภิกษุ นางทำบุญบ่อยและมาก แล้วก็ไปเกิดเป็นบริจาริกาของท้าวสักกะจอมเทพ คือเป็นนางฟ้าชั้นผู้น้อย เป็นมเหสีชั้นผู้น้อยของพระอินทร์หรือท้าวสักกะ (สวรรค์ชั้นที่ ๒)
สุภัททาเทพธิดา เพียงเกิดเป็นเทพธิดาเท่านั้น นางก็พิจารณาถึงสมบัติของตนครุ่นคิดอยู่ว่า เรามาเกิดในสวรรค์นี้ด้วยบุญอะไรหนอ จึงเห็นว่าเราเชื่อโอวาทของพี่ภัททา จึงได้สมบัติที่งดงามนี้ด้วยการถวายทานในสงฆ์ แล้วนางคิดต่อว่า พี่ภัททาไปเกิดที่ไหนหนอ มองหาพี่สาวด้วยพลังทิพย์ของนางแล้วได้เห็นพี่สาวเกิดเป็นบริจาริกา(ภรรยาชั้นผู้น้อย)ของท้าวสักกะ จึงหวังจะอนุเคราะห์พี่สาว อยากให้พี่ได้บุญเพิ่ม(หากมีโอกาทำบุญ) จึงได้เข้าไปยังวิมานของนางภัททาเทพธิดา ชั้นดาวดึงส์
แล้วได้สนทนากัน ดังคำสนทนาที่อ้างอิงแล้วด้านล่าง
อธิบายธรรม
พ่อแม่ นอกจากเป็นเจ้าของเนื้อหนังมังสาของลูกแล้ว พ่อแม่ยังเป็นผู้กำหนดจิตใจของลูกด้วย เว้นแต่ว่าลูกมีบุญมากกว่าพ่อแม่ อาศัยพ่อแม่เพียงแค่มาเกิดเท่านั้น แต่จิตใจของลูกผู้นั้น พ่อแม่ไม่ต้องสอนอะไรเลย ลูกผู้มีบุญนั้น จะคิดได้เอง รู้เองได้ และรู้ได้ดีกว่าพ่อแม่ แม้พ่อแม่เป็นคนไร้ศีลธรรม ฉลาดน้อย แต่ลูกผู้มีบุญนั้นจะไม่ผิดศีล ฉลาดคิดฉลาดทำ
ส่วนลูกที่มีบาปมากมาเกิดด้วย แม้พ่อแม่จะเป็นคนดีอย่างไร ลูกก็จะเป็นคนบาปอยู่นั่นเอง ลูกนั้นคือเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่นั้น
พ่อแม่กับลูก ส่วนใหญ่มีบุญบาปพอๆกัน จึงต้องอาศัยพ่อแม่เป็นผู้กำหนดเส้นทางของลูก ลูกจะเดินเส้นทางแบบใด พ่อแม่เท่านั้นเป็นคนกำหนดให้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ ใช้วาจาสั่งสอนลูกให้เป็นอย่างที่ตนต้องการ แต่ลูกมักเป็นอย่างที่พ่อแม่ทำมากกว่า ไม่เป็นอย่างที่พ่อแม่พูด
พ่อแม่ของนางฟ้าทั้งสอง คือแบบอย่างที่งามมากของลูก พาลูกบำเพ็ญบุญเสมอไม่ขาด จนพี่สาวกลายเป็นคนชอบทำบุญเป็นนิสัยเป็นชีวิตจิตใจ นางไม่เคยห่างบุญเลย แต่งงานออกเรือนแล้ว เป็นหมัน ก็ให้น้องสาวมาเป็นภรรยาร่วมสามีกับนาง แล้วอบรมน้องสาวเรื่องบุญเรื่องธรรมอยู่เสมอ อาจเพราะว่าเป็นน้องสาวคนเล็ก พ่อแม่พี่ จึงเอาอกเอาใจ ทำให้น้องสาวไม่ค่อยได้บำเพ็ญบุญ พอมาอยู่กับพี่สาวเป็นภรรยาของสามีเดียวกัน พี่สาวจึงสอนน้องสาวเสมอ ไม่ให้นางห่างบุญ
นางสุภัททาน้องสาว เป็นคนเชื่อฟังพี่เสมอ ครอบครัวนี้ จึงอบอุ่น วันหนึ่ง นางได้นิมนต์พระเรวตะเถระ มาฉันที่บ้าน พระเถระซึ่งเห็นและคุ้นเคยกับนางตั้งแต่เล็ก อยากให้นางได้บุญเยอะๆ จึงนิมนต์พระภิกษุอื่นอีก ๗ รูป รวมกับท่านเป็น ๘ รูป เพื่อให้นางได้ถวายเป็นสังฆทาน
พระภิกษุเหล่านั้น ล้วนเป็นพระภิกษุที่จิตสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสเป็นผู้รับทานของนาง และนางเองก็มีจิตบริสุทธิ์ คิดทำบุญเพื่อพ้นวัฏสงสาร ทานที่นางถวายจึงมีผลยิ่งใหญ่มาก พลังแห่งบุญนี้ ส่งให้นางไปเกิดเป็นนางฟ้าชั้นนิมมานรดี ชั้นที่ ๕
ส่วนบุญของพี่สาว แม้นางทำบุญบ่อยและทำบุญมาก แต่ส่วนใหญ่ นางทำบุญกับพระภิกษุที่นางคุ้นเคย ไม่ค่อยได้ถวายเป็นเป็นสังฆทาน แม้ทานนั้นได้ถวายในพระภิกษุที่สิ้นกิเลส แต่ผลบุญก็ยังน้อยอยู่ หากเทียบกับการได้ถวายสังฆทานแด่พระที่สิ้นกิเลสเป็นจำนวนสงฆ์
เทพธิดาสุภัททา เป็นนางฟ้าสูงกว่าแล้ว ก็รีบมาหาพี่สาวทันที เพื่อบอกถึงผลบุญให้พี่สาวรับรู้แล้วจะได้บำเพ็ญบุญดีและสูงขึ้น
เทพธิดาภัททา สัญญากับตัวเองว่า หากมีโอกาสเป็นมนุษย์อีก จะมุ่งมั่นบำเพ็ญสังฆทานด้วยคิดทำลายวัฏสงสารให้สิ้นด้วย ผลบุญจะมาก
ทำบุญเป็นสังฆทาน จิตของเราไม่เลือกที่รักที่เคารพเท่านั้น จิตเราจะอิสระ เบาสบาย แม้จะได้ถวายทานกับสามเณรน้อยที่เพิ่งบวช แต่ว่าสามเณรนั้นเป็นหนึ่งในองค์สงฆ์ ผลบุญก็มาก หากสามเณรเป็นพระอริยด้วย ผลบุญก็จะยิ่งใหญ่นัก
คำว่าสังฆทาน คือ สิ่งของที่เราตระเตรียมด้วยจิตที่ปราณีต แล้วได้ถวายพระสงฆ์ ไม่ใช่ถังสังฆทาน กล่องสังฆทาน ถุงสังฆทานที่ไม่ได้ตระเตรียมด้วยจิตปราณีต
การคิดดี จิตของเราปลอดโปร่งเป็นอิสระ เบาสบาย ยามประสพทุกข์ก็ไม่ทุกข์มาก เพราะจิตเราเป็นอิสระเบาสบาย หลังตายแล้วก็ไปเกิดในสถานที่สวยงาม ปลอดโปร่ง เบาสบาย ไร้ข้อจำกัดการเคลื่อนที่ เคลื่อนไหว ส่วนจิตที่คิดแต่เรื่องร้ายๆ จิตจะหมดอิสระ หนัก อึดอัด คับแคบ หลังตายแล้วก็ไปอยู่ในสถานที่ที่คับแคบ ไร้อิสระภาพและเป็นทุกข์ตามจิตของเราเคยเป็นครั้งเป็นมนุษย์
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=34