
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Madhupindikasutta
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง มธุปิณฑิกสูตร (ข้อที่ ๒๐๔ ตอนต้นเท่านั้น)
รู้สึกคุ้นเคยอยู่กับความรู้สึกอย่างไรนิสัยก็จะเป็นอย่างนั้น
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ
ครั้นในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกถือบาตรและทรงจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงกบิลพัสดุ์ กลับจากบิณฑบาต ภายหลังเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว เสด็จเข้าไปยังป่ามหาวันเพื่อทรงพักผ่อนกลางวัน แล้วจึงประทับพักผ่อนกลางวัน ณ โคนต้นมะตูมหนุ่ม
ขณะนั้นทัณฑปาณิศากยะกำลังเดินเที่ยวชมทิวทัศน์ ได้เสด็จเข้าไปยังป่ามหาวันแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ที่ต้นมะตูมหนุ่ม แล้วสนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว ยืนขึ้นยันไม้เท้าลงพื้น ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค ว่า “พระสมณะ ท่านชอบกล่าวอย่างไร บอกอย่างไร”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ผู้มีอายุ บุคคลกล่าวอย่างใด แล้วไม่โต้เถียงกับใครๆ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ใช้ชีวิตอยู่ในโลก(นี้) อนึ่ง สัญญาทั้งหลายย่อมไม่ครอบงำพราหมณ์ผู้อยู่ปราศจากกามทั้งหลาย ผู้ไม่มีความสงสัย ผู้ตัดความคะนองได้ ผู้ปราศจากความทะยานอยากในภพน้อยภพใหญ่ได้โดยประการใด เราชอบกล่าวอย่างนั้น บอกอย่างนั้น โดยประการนั้น”
พอพระองค์ตรัสเพียงแค่นี้ เจ้าศากยะทัณฑปาณิ สั่นศรีษะ แลบลิ้น ย่นหน้าผากจนรอยปรากฎเป็น ๓ รอย ไม่พูดอะไร ก็จากไป
ตกเย็นวันนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสเหตุดังกล่าวแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ณ
วัดนิโครธาราม แล้วแสดงธรรมสั้นๆอย่างนั้น ยังไม่อธิบาย พระภิกษุรูปหนึ่ง จึงได้ทูลถามถึงว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคชอบตรัสอย่างไรจึงจะไม่โต้เถียงกับใคร ฯลฯ
พระผู้มีพระภาคตอบว่า
ดูกรภิกษุ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงำคน เพราะเหตุใด ก็ถ้าบุคคลไม่เพลิดเพลิน ไม่ยึดถือ ไม่จมปลักในเหตุนั้น อันนี้แลเป็นที่สิ้นสุดแห่ง
ราคานุสัย(ชอบด้วยกิเลส) เป็นที่สุดแห่งปฏิฆานุสัย(ชัง) เป็นที่สุดแห่งทิฏฐานุสัย (เห็นผิด) เป็นที่สุดแห่งวิกิจฉานุสัย(สงสัยในความจริง) เป็นที่สุดแห่งมานานุสัย (การถือตัว) เป็นที่สุดแห่งภวราคานุสัย (ชอบทำกรรมแล้วเวียนว่ายตายเกิด) เป็นที่สุดแห่งอวิชชานุสัย เป็นที่สุดแห่งการจับท่อนไม้ การจับศาตรา การทะเลาะ การถือผิด การโต้เถียง การด่าว่า การส่อเสียดยุยง และการกล่าวเท็จ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านี้ ย่อมดับไปโดยไม่เหลือ ในเพราะเหตุนั้น ครั้นพระผู้มีพระภาคผู้สุคตเจ้าได้ตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย
พระภิกษุทั้งหลาย ยังไม่เข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ แต่เกรงพระทัยพระองค์มาก ไม่กล้าตามไปถามถึงพระคันธกุฏี ทั้งหมดจึงตกลงกันไปหาพระมหากัจจานะเถระ(พระมหากัจจายนเถระ) กราบอาราธนาท่านให้ขยายความธรรมนี้ ขอร้องอยู่หลายครั้ง ท่านพระเถระจึงยอมกล่าวแสดงด้วยเกรงพระผู้มีพระภาคเจ้า
ขอกล่าวอธิบายธรรมที่พระเถระแสดงแบบย่อๆ ดังนี้
การที่คนทั้งหลายยังทะเลาะกัน โต้เถียงขัดแย้ง ก็เพราะความรัก ความชัง ความยึดติดความคิด เพราะสงสัย เพราะถือตัว เพราะเพลิดเพลินในวัฏฏสงสาร เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงทะเลาะกัน แล้วจับอาวุธมาทำร้ายกัน แก่งแย่งกัน ยุแยงกัน โกหกกัน บาปอกุศลมากมายจึงเกิด
เหตุแห่งทะเลาะกันคือ
เพราะ จักขุปสาทกับรูปารมณ์กระทบกัน จึงเกิด(จักขุวิญญาณ)การเห็นขึ้น (เพราะตาเห็นรูป จึงเกิดการเห็น) ธรรมทั้ง ๓ ประการนี้เรียกว่า ผัสสะ (การกระทบ) เมื่อมีผัสสะ จึงเกิดความรู้สึก(เวทนา) สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เฉยๆบ้างกับการเห็นนั้น
การเห็นของคนทั่วไป มักเห็นด้วยกิเลส จึงติดใจ หรือไม่ชอบ หรือเฉยๆ แต่ละวันเราปล่อยให้ความชอบความชัง หรือเฉยๆเกิดกับการเห็นนั้น ในขณะที่เรารู้สึกอยู่นั้น สัญญาก็จดจำความรู้สึกไว้ทั้งหมด เมื่อสัญญาจำไว้ เราก็จะคิดตามที่สัญญาจำไว้ จิตที่ไปถึงสัญญามาใช้ ส่วนใหญ่ก็เป็นกิเลสอีก เช่นราคะไปดึงสัญญามาใช้ เราก็เป็นคนแบบราคะ ชอบใจก็ยึดความชอบไว้ ปฏิฆะ(ความโกรธ ไม่ชอบ)ไปดึงสัญญามาใช้ เราก็เป็นคนแบบปฏิฆะ ขี้โกรธ ขี้หงุดหงิด แล้วก็หลงยึดสัญญานี้เป็นตัวตนของเรา ทิฏฐิไปดึงสัญญามาใช้ เราก็คิดแบบผิดๆแล้วยึดมั่นในความคิดผิดนั้นว่าคิดถูก เป็นต้น
สัญญาบางอย่าง กิเลสอีกตัวบอกว่าไม่ชอบ อยากจะทิ้งอยากขจัด แต่ยิ่งไม่ชอบยิ่งอยากทิ้งกลับทุกข์เพิ่มขึ้น อยากได้ความจำดีๆไว้ แต่เพราะเวทนาดีๆเวทนาที่เป็นกุศลมักไม่เกิด เมื่อกุศลเวทนาไม่ค่อยได้เกิด สัญญาก็ไม่มีกุศลจำ เมื่อกุศลสัญญาไม่มี นิสัยดีๆความคิดดีงดงามก็ไม่ค่อยได้เกิด เพราะผัสสะ(ตา+รูป=การเห็น)มีแต่อกุศลออกมาเสวยอารมณ์(อกุศลเวทนา) สัญญาจดจำแต่อกุศลเป็นส่วนใหญ่
เราทะเลาะกันก็เพราะอกุศลสัญญาของเราเยอะ
สัญญาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เป็นอย่างเดียวกันกับสัญญาทางตา
จิตของเราแสดงตัวตนของมันออกมาทางระบบประสาทโดยมีสมองเป็นตัวแปลงสัญญาแล้วส่งเป็นตัวตนของจิตไปทั่วร่างกาย ดังนั้นสัญญาเป็นอย่างไร สมองเป็นอย่างนั้น สมองเป็นอย่างไร ประสาทเป็นอย่างนั้น ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทำงานเป็นอันเดียวกันอย่างนี้
จิตเกิดไม่ได้หากไม่มีรูป รูปรู้สึกไม่ได้หากไม่มีจิต
เราจึงควรพยามให้สัญญาเกิดด้วยการจำสิ่งดีงามอันเป็นกุศลให้มาก ชีวิตเราจะเป็นชีวิตที่เป็นแดนแห่งกุศล
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=18
ข้อที่ ๒๐๔ ตอนต้นเท่านั้น