
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Dakkhina Borisuddhi
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง ทักขิณาวิภังคสูตร (ตอนที่ ๔ ข้อ ๓๘๑-๓๘๒)
ทานที่มีผลมากมีผลน้อย ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของผู้ให้และผู้รับ
ตอนที่ ๓ ความบริสุทธิ์ของทาน
ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๔ ประการ คือ
๑. ทักษิณาที่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก(ผู้ให้) แต่ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก(ผู้รับ)
๒. ทักษิณาที่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก แต่ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก
๓. ทักษิณาที่ไม่บริสุทธิ์ ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก
๔. ทักษิณาที่บริสุทธิ์ ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก
อธิบาย
๑. ผู้ให้บริสุทธิ์(ทายก)ผู้รับไม่บริสุทธิ์(ปฏิคาหก)
คือ ทายกในโลกนี้เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ปฏิคาหกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม
ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในท่อนแรกของพระคาถาพระสูตรนี้ว่า
ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดีเชื่อกรรมและผลแห่งกรรมอันโอฬาร ให้ทานในชนผู้ทุศีล
๒. ผู้รับบริสุทธิ์ ผู้ให้ไม่บริสุทธิ์
คือทายกในโลกนี้เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม
ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในท่อนที่สองของพระคาถาพระสูตรนี้ว่า
ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอันโอฬาร ให้ทานในชนผู้มีศีล
๓. ไม่บริสุทธิ์ทั้งผู้ให้และผู้รับ
คือทายกในโลกนี้ เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม และปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล
มีธรรมเลวทราม
ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในท่อนที่สามของพระคาถาพระสูตรนี้ว่า
ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใสไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอันโอฬาร ให้ทานในชนผู้ทุศีล
เรากล่าวทานของผู้นั้นว่ามีผลไม่ไพบูลย์เลย
๔. ทานบริสุทธิ์ทั้งผู้ให้และผู้รับ
ทายกในโลกนี้ เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล
มีกัลยาณธรรม
ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในท่อนที่สี่ของพระคาถพระสูตรนี้าว่า
ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดีเชื่อกรรมและผลของกรรมอันโอฬาร ให้ทานในชนผู้มีศีล
เรากล่าวทานของผู้นั้นว่ามีผลไพบูลย์
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสุดท้ายว่า
ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอันโอฬาร
จึงให้ทานในท่านผู้ปราศจากราคะ
เรากล่าวทานของผู้นั้น“เลิศกว่าอามิสทานทั้งหลาย” ดังนี้แล
ในพระคาถาท่อนสุดท้าย ทรงแสดงให้เห็นว่า ความบริสุทธิ์ทั้ง ๓ ส่วนเป็นอย่างไร คือ
๑.ผู้ให้บริสุทธิ์เพราะปราศจากราคะคือกิเลสขณะบำเพ็ญทาน
๒.สิ่งของที่ให้ก็บริสุทธิ์ ได้มาโดยถูกต้องตามศีลธรรม
๓.แล้วให้ทานในท่านที่บริสุทธิ์คือปราศจากกิเลส ผลของทานที่เราให้แล้วนั้นจะมีผล อานิสงส์มากมายนับประมาณมิได้ในบรรดาทานที่เป็นวัตถุสิ่งของทั้งหลาย
ตรวจตนเองก่อนให้ทาน
ศีล
เรามีศีลดีหรือยัง หากศีลยังไม่ดี ก็ควรอธิษฐานหรือสมาทานศีลก่อน อย่างธรรมเนียมชาวพุทธโดยทั่วไป จะนิยมสมาทานศีลก่อนแล้วจึงให้ทาน หากถวายกับพระภิกษุสงฆ์ ท่านจะพาทายกคือผู้ให้ทานสมาทานศีล แล้วจึงให้ทานเป็นลำดับต่อไป
บางคนศีลบกพร่องอยู่แล้ว คิดผิดอีก เวลาพระกล่าวนำศีลให้สมาทานเอา ถึงข้อไหนที่ตนผิดเสมอซ้ำซาก ก็จะเลยข้ามไป นั่งนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยวาจา ไม่สมาทานแม้ด้วยใจ เพราะคิดว่าหากรับศีลข้อนี้แล้ว ทำไม่ได้ รักษาไม่ จะบาป เขาคิดว่าเมื่อไม่กล่าวรับศีลตามข้อที่พระให้นั้น จะดีกว่า ไม่รับศีลข้อนี้แม้ละเมิดศีลข้อนี้ก็จะไม่บาป เขาไม่อยากเป็นคนบริสุทธิ์ แต่อยากให้ทาน ดังนั้นทานที่ให้ไปนั้นก็จะไม่บริสุทธิ์เพราะทายกไม่บริสุทธิ์ ผู้ให้ทานก็ได้ผลทานน้อย
การสมาทานศีลก่อนให้ทาน จึงเป็นประเพณีที่ดีงามของชาวพุทธ การสมาทานคือการตั้งใจจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เวลาเราจะให้ทานแก่ใครควรสำรวจศีลของตนก่อน หากไม่มั่นใจว่าตนมีศีลบริสุทธิ์หรือไม่ ก็ให้สมาทานขณะนั้นทันที หากมีพระกล่าวนำก็ว่าตามท่าน หากไม่มีพระกล่าวนำก็อธิษฐานด้วยตนเอง กล่าวในใจก็ได้เป็นข้อๆไป แล้ว จึงให้ทานไป อย่างน้อยทานของเราก็บริสุทธิ์ มีผลอานิสงส์ยิ่งใหญ่มาก เช่นให้ทานแก่คนขอทาน ก่อนให้ ก็ตรวจสอบตัวเองก่อนว่า มีศีลบริสุทธิ์หรือเปล่า หากบริสุทธิ์แล้วก็ให้ไป หากยังไม่บริสุทธิ์ก็ให้อธิษฐานศีลก่อนแล้วจึงให้ทาน การให้ทานแก่คนขอทานของคนมีศีล ทานเราจะบริสุทธิ์ ส่วนคนขอทานจะมีศีลหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเรามีศีล ทานของเราจะประเสริฐมีผลมาก หากคนขอทานเป็นคนมีศีลด้วย ทานของเรายิ่งจะประเสริฐมีผลมาก
สิ่งของที่ให้ทาน
จตุปัจจัยที่จะให้ทานต้องบริสุทธิ์ด้วย หากเป็นของได้มาด้วยการละเมิดศีล ทานก็เศร้าหมอง เช่นหากเป็นสิ่งของที่ลักขโมยมาให้ทาน วันหนึ่งเจ้าของสิ่งของนั้นมาพบเจอเข้า ก็จะอยากได้คืน เกิดปัญหามากตามมาอีก สิ่งของไม่บริสุทธิ์ให้ทาน ก็ไม่ได้บุญอะไรเลย หากสิ่งของบริสุทธิ์ให้ทาน ผลทานก็มีมาก
ความเลื่อมใส
คือพึงพอใจ เบิกบานใจที่จะให้ทาน ความสุขเกิดขณะให้ หากให้ทานแบบแก้บน สะเดาะเคราะห์ ก็ให้แบบจำใจ แบบกลัว ไม่ได้เลื่อมใสแต่อย่างใดเลย ไม่เลื่อมใสแล้วให้ทาน ผลทานเกิดน้อยหรือไม่เกิดเลย
ความเลื่อมใสเป็นดั่งน้ำชโลมสรรพสิ่งให้สดใสสดชื่น ความเลื่อมใสที่ชโลมใจให้ทานก็ฉันนั้น คนเลื่อมใสให้ทานจะมีความสุข
เชื่อกรรมและผลแห่งกรรม อันโอฬาร
การให้ที่จะมีความสุขอย่างแท้จริง ต้องเชื่อกรรมและผลของกรรม การเชื่อกรรมก็คือเชื่อการทำงานของธรรมชาติ ถึงไม่รู้ไม่เข้าใจอย่างละเอียดว่าธรรมชาติทำงานอย่างไร แต่อย่างน้อย เราก็ควรมองให้พอเห็น เช่น ทำไมเราจึงให้เงินแก่คนขอทาน เราควรมองแบบที่พอคิดตามได้ก่อน เช่นเงินจำนวนแค่นี้ เขาจะเอาไปซื้ออาหาร เลี้ยงตน เลี้ยงครอบครัว หรือซื้อสิ่งมึนเมา(อาจเป็นได้) อย่างน้อยเงินเราช่วยต่อชีวิตของคนๆหนึ่ง แล้วมองให้ลึกไปอีก แบบเมตตาธรรมว่า คนมีอวัยวะครบถ้วนเหมือนกันก็จริง แต่ปัญญาต่างกัน จึงคิดต่างกัน เขาทำอย่างนี้ เพราะปัญญาเขาทำได้แค่นี้ อาจจะเป็นเพราะเขาเคยทำกรรมไม่ดีไว้แต่ปางก่อนด้วยวิธีแบบนี้ เขาจึงเป็นแบบนี้ เมตตาธรรมจะเกิดแก่เรามากขึ้น ขณะเดียวกันปัญญาก็เกิดขึ้นว่า เราจะไม่เป็นอย่างเขาซึ่งมันลำบากมาก กว่าจะมีคนให้เงินสักบาทหรือยูโรหนึ่งนี้ มันยากมาก คนเดินผ่านเราเป็นร้อยเป็นพันก็จริง เมื่อคิดอย่างนี้ได้ เราจะมีความสุข และจะไม่เบื่อกับการให้ทานเลย
เราให้ทานเพื่อให้เกิดความสุข ความสุขของคนมีศีล มีความเลื่อมใส เชื่อกรรมและผลของกรรม ก็จะแผ่สุขของเราไปให้คนอื่นด้วย ประโยชน์สุขจะเกิดแก่คนทั่วไปด้วย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสุดท้ายอีก สรุปคำอธิบายเป็นดังนี้ว่า
ขณะให้ทาน จะให้แก่ใครก็ตาม เบื้องต้น เราต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ก่อน การทำจิตตัวเองให้บริสุทธิ์ คือการทำบุญด้วยจิตที่ปราศจากราคะ คือปราศจากกิเลสนั่นเอง หากเราทำบุญด้วยกิเลส ผลบุญจะเกิดน้อย หรือไม่เกิดเลย เช่นให้สิ่งของ(แม้เงินทองด้วย) เพื่อหวังให้คนนับถือ เพื่อหนุนเราให้ได้อย่างปรารถนา เช่นมีตำแหน่งที่ปรารถนาไว้เป็นต้น ให้อย่างนี้ เป็นการให้ด้วยกิเลส
คนมีจิตบริสุทธิ์แล้ว ศีลก็เกิด สมาธิก็เกิด สิ่งของที่จะทำบุญให้ทานก็บริสุทธิ์ เราเลื่อมใสศรัทธาในบุญตัวเอง เราเชื่อกรรมและผลของกรรมว่าเป็นกฎธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เราจึงสร้างเหตุปัจจัยที่ดีเพื่อผลที่ดีแล้วให้ทาน ผลของทานก็เกิดมากมาย หากเราได้ให้ทานกับคนที่มีศีลงามบริสุทธิ์ด้วย ผลทานก็มากจนประมาณมิได้
ที่กล่าวมานี้ เป็นการกล่าวเฉพาะ “ทักขิณาหรือทักษิณาที่บริสุทธิฝ่ายทายก” ส่วนฝ่ายปฏิคาหก เรารู้ได้ยาก หากคาดคะเน เดาเอา ก็พอได้
ท่านที่มีศีล มีของสิ่งของบริสุทธิ์ เลื่อมใสในทาน เชื่อกรรมและผลของกรรม มักบำเพ็ญบุญอยู่เสมอไม่ขาด และไร้เงื่อนไขในการบำเพ็ญทาน บางครั้งบำเพ็ญทานเป็น “ปาฏิบุคคลิกทาน ๑๔” อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ บางครั้งบำเพ็ญทานเป็น “สังฆทาน ๗” อย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยสำรวจความบริสุทธิ์ของทาน ๔ อย่างก่อนว่าเราบริสุทธิ์ส่วนไหนบ้าง จะเพิ่มความบริสุทธิ์ส่วนไหน การไตร่ตรองอย่างนี้ เราจะเป็นคนบำเพ็ญทานด้วยปัญญาเสมอ
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=42
ข้อ ๓๘๑-๓๘๒