Buddhadhamma Tepitaka Sutadharasutta
Buddhadhamma Tepitaka Sutadharasutta
popularity:0
  • Description

Buddhadhamma Tepitaka Sutadharasutta

ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก

เรื่อง สุตธรสูตร

คนที่จะทำกรรมฐานได้ดี

ลักษณะคนที่จะทำกรรมฐานได้ดี เบื้องตน ต้องมีความรู้สึกว่า บำเพ็ญภาวนากรรมฐานแล้ว ช่วยให้ชีวิตได้ความสุข มีความสุข จึงอยากจะทำ ขณะที่ทำกรรมฐานนั้น ต้องฝึกตนให้เป็นคนมีนิสัย ดังนี้

๑. ทำตัวให้ว่างจากการงานบ้าง รู้ประมาณชีวิตตนเอง ไม่โลภมากจนไม่มีเวลาเลย

๒. ไม่เป็นคนเห็นแก่กิน

๓. นอนน้อย ที่ร่างกายไม่เพลียเกิน

๔. เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เข้าใจธรรมะในการปฏิบัติอย่างดี

๕. หมั่นพิจารณาจิตตนเองเสมอ

อธิบายธรรม

๑. ทำตัวให้ว่างจากการงานบ้าง รู้ประมาณชีวิตตนเอง ไม่โลภมากจนไม่มีเวลาเลย

คนที่ทำตัวว่างไม่เป็น ยุ่งอยู่เสมอ แน่นอนว่า เขาจะยินดีการทำกรรมฐาน หรือแม้เพียงคิดจะทำกรรมฐานก็ไม่เคยเกิดในใจเลย

การรู้ประมาณตนเอง การรู้จักบริหารกายด้วยหลักสันโดษ จะทำให้เราถนอมร่างกาย ทำให้เรารักร่างกาย ไม่ใช้ร่างกายสนองตัณหาจนร่างกายผุพัง ทรุดโทรด ท้ายที่สุดแล้ว เราเองก็จะไม่มีความสุขเลย เพราะป่วยออดๆแอดๆ เพลียอยู่เรื่อย จะทำให้เราไม่เบิกบาน สดชื่น เหน็ดเหนื่อยมาก ทำกรรมฐานให้จิตสงบยาก

ทำตัวให้ว่างด้วยความเหมาะสม เราจะอยู่กับกายนี้อย่างมีความสุข แล้วมีนิสัยชอบทำกรรมฐานด้วย จะยิ่งสุขนับประมาณมิได้เลย

๒. ไม่เป็นคนเห็นแก่กิน

อย่าเป็นคนวุ่นวายอยู่แต่กับเรื่องกินให้มากนัก รู้จักห้ามใจ ฝึกกินเป็นเวลา เราจะมีเวลาทำกรรมฐาน และจิตจะสงบได้ด้วย หากปล่อยตนให้เป็นคนกินจุกกินจิก ไม่มีเวล่ำเวลา คนอย่างนี้ ทำกรรมฐานไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่ ยิ่งทำตัวกินตามตัณหา ก็ยิ่งยากหนักไปอีกที่จะทำกรรมฐานได้ แต่คนกินจุกจิก กินด้วยตัณหามักไม่ชอบทำกรรมฐานอยู่แล้ว

คนที่จะทำกรรมฐาน ควรฝึกตนให้มีระเบียบ เพราะเป็นอุปการะในการทำกรรมฐาน

๓. นอนน้อย ที่ร่างกายไม่เพลียเกิน

คนมีนิสัยชอบนอน นอนไม่เคยอิ่มสักที คนประเภทนี้ ทำกรรมฐานไม่สำเร็จเลย เพราะเขาไม่ชอบทำอยู่แล้ว แต่คนที่ชอบทำกรรมฐาน จะฝึกนอนให้พอประมาณ หากนอนน้อยเกินไป จิตเป็นสมาธิยาก นอนมากเกินไปจิตไม่เป็นสมาธิเลย หากนอนเพียงพอเวลาทำกรรมฐาน เมื่อสมาธิเกิด สมาธิจะแน่นแข็งแรงกว่าการนอนน้อยเกินไป

๔. เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เข้าใจธรรมะในการปฏิบัติอย่างดี

เรียนรู้กรรมฐานให้แจ่มแจ้ง ไม่ควรทำกรรมฐานด้วยความรู้สึกว่า เขาว่าดี แต่ควรเรียนรู้ให้เข้าใจ หากรู้เข้าใจดีแล้ว เราจะแก้อารมณ์กรรมฐานให้ตัวเองได้ ขณะปฏิบัติอยู่ก็รู้ว่าจิตเป็นอย่างไร แก้ด้วยอะไร

ฝึกเป็นคนใฝ่รู้ อยู่เสมอ หากไม่เข้าใจก็เพียรเข้าหากัลยาณมิตรที่ช่วยเราให้เจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ

๕. หมั่นพิจารณาจิตตนเองเสมอ

แม้ว่าทำกรรมฐานอยู่ จิตจะไม่สงบเลย แต่หากลองพิจารณาดู เราจะเห็นว่า ขณะทำกรรมฐาน เราเพียรพยายามข่มกิเลยอยู่เรื่อยๆ การมีสติพิจารณาดูจิตตัวเองเพียงแค่นี้ ก็นับว่าประเสริฐมาก เพราะอย่างน้อยเราเห็นกิเลสตัวเอง เพียรข่มกิเลสตัวเอง หมั่นเพียร ฝึกมองจิตตนเองอย่างนี้เรื่อยๆ การฝึกรรมฐานของเราจะค่อยๆพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ

แต่หากไม่เคยมองจิตเลย รู้สึกเหนื่อยเวลาพิจารณาจิต ทำให้ไม่อยากพิจารณา ก็เลยปล่อยไปๆอย่างนี้เรื่อยๆ หากเป็นคนนิสัยอย่างนี้ ทำกรรมฐานทั้งชีวิตนี้ ก็ไม่พบสมาธิจิต

เมื่อทำกรรมฐานได้ระดับหนึ่ง เราจะมีสติทันจิต การเห็นจิตตนเองได้ เราจะรู้จักจิตตนเอง เราเห็นหน้าตาจิตของตนเอง ยิ่งมีปัญญาพิจารณาเห็นว่า มันเป็นเพียงแค่ธรรมชาติ กลายเป็นว่า เราจะไม่ถูกควบคุมจากกิเลส(มากนัก) เป็น”อกุปปธรรม” เราจะเริ่มเป็นอิสระมากขึ้น คำว่าอิสระ หมายถึงเราไม่ได้ทำอะไรด้วยความบีบคั้นจากกิเลส แต่เราทำอะไรเพื่อให้ชีวิตอยู่ได้เท่านั้นโดยไร้พิษจากอกุศล เราถือเอาประโยชน์จากชีวิตนี้ด้วยการทำความดีเท่านั้น

สุขแท้จริงก็จะเกิดอย่างนี้

อ้างอิง

https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=22&siri=96

You may also like...

Popular Articles...