Buddhadhamma Tepitaka Piyajatikasutta
Buddhadhamma Tepitaka Piyajatikasutta
popularity:0
  • Description

Buddhadhamma Tepitaka Piyajatikasutta

ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก

เรื่อง ปิยชาติกสูตร

ความสุขเกิดจากสิ่งที่รัก แต่ก็ทุกข์อย่างใหญ่หลวง

คหบดีคนหนึ่ง ชาวเมืองสาวัตถี มีลูกชายคนหนึ่งอยู่ในวัยกำลังน่ารักมาก แต่แล้ว ลูกชายสุดที่รักนั้น ต้องมาตายกระทันหัน ทำให้คหบดีนั้นเสียใจมาก จนกินไม่ได้ หมดกำลังใจที่จะทำงานทั้งหมด

แม้ลูกถูกเผาในป่าช้าแล้ว แต่คหบดีนั้น ก็ยังไปป่าช้านั้น แล้วร้องห่มร้องไห้เรียกหาลูกชายนั้น

เขาทำอย่างนี้ วันแล้ววันเล่า เรียกหาลูกชายที่ตายแล้ว จนซูบหม่นหมอง เหม่อลอย แล้ววันหนึ่ง เดินเข้าวัดเชตวัน เพื่อให้พระพุทธเจ้าช่วย

เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า คหบดี ดูท่านเหม่อลอย กายก็หม่นหมอง เป็นอะไรหรือ

คหบดีตอบว่า

ทำไมจะไม่หม่นหมองหละพระองค์ ก็เพราะลูกชายสุดที่รักของข้าพระองค์ตาย จึงทำให้ข้าพระองค์เป็นอย่างนี้

ดูกร คหบดี เป็นธรรมดาที่ต้องเป็นอย่างนี้ โสกะ(ความเศร้าโศก) ปริเทวะ(ความคร่ำครวญ) ทุกข์(ความทุกข์กาย)

โทมนัส(ความทุกข์ใจ) และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) เกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก มีมาจากสิ่งอันเป็นที่รัก

คหบดีกล่าวว่า

พระองค์ผู้เจริญ ความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ จะเกิดจากสิ่งที่รัก มาจากสิ่งที่รักได้อย่างไรหละ เป็นไปไม่ได้ แท้จริงแล้ว ความชื่นชมยินดีความโสมนัสต่างหากที่เกิดจากสิ่งที่รัก มีมาจากสิ่งที่รัก

ว่าดังนี้แล้ว คหบดีก็ลุกเดินหนีไปเลย ไม่ชอบใจที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น เพราะตนคิดว่าพระพุทธเจ้าตรัสไม่ถูก

ขณะเดินออกไปด้วยใจครุ่นคิดอย่างนั้น เห็นคนเล่นการพนันกลุ่มหนึ่ง ไม่ไกลจาก วัดเชตวัน จึงเข้าไปหาเพื่อขอความเห็นว่า ระหว่างตนกับพระพุทธเจ้า ใครพูดถูกกันแน่

ขออนุญาตคนเหล่านั้นที่ขัดจังหวะแล้วถามว่า

เมื่อตะกี้ได้คุยกับพระสมณโคดม แล้วคหบดีก็เล่าเรื่องที่สนทนากับพระพุทธเจ้าให้เหล่านักพนันนั้นฟัง

พวกนักเล่นพนันทั้งหลายฟังแล้ว ก็เห็นด้วยกับคหบดี พระพุทธเจ้าพูดไม่ถูก คหบดีฟังดังนั้น ก็ดีใจว่า ตนเองพูดถูกจริงๆ พระพุทธเจ้าพูดไม่ถูก

จากนั้น เรื่องนี้ ก็ลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองสาวัตถี ว่าพระพุทธเจ้าพูดไม่ถูก จนเรื่องนี้เข้าไปในพระราชวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ก็เห็นด้วยกับคหบดีนั้น มีความรู้สึกไม่ชอบพระพุทธเจ้าที่ตรัสคำไม่จริง

พระองค์จึงตรัสเรียกพระนางมัลลิกาเทวีให้มาหา แล้วถามว่า พระสมณโคดมตรัสว่า “ความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เกิดจากสิ่งที่รัก มาจากสิ่งที่รัก”จริงหรือ”

พระนางตอบว่า “หากว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจริง พระดำรัสนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น

“มัลลิกา ใช่สิ เธอต้องคล้อยตามพระสมณโคดม เหมือนศิษย์กับอาจารย์ก็ต้องคล้อยตามกันอยู่แล้ว”

พระเจ้าปเสนทิโกศล หงุดหงิดที่พระนางมัลลิกาก็เห็นดีเห็นงามตามพระพุทธเจ้า จึงไล่นางออกไปให้พ้นสายตา อย่าอยู่แถวนี้

พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนฉลาด แม้ถูกพระสวามีไล่ พระนางก็ไม่โกรธ กลับหาต้นตอของคำพูดนี้ ว่าพระพุทธเจ้าตรัสจริงหรือเปล่า และทำไมพระองค์จึงตรัสอย่างนี้

จึงขอให้พราหมณ์ชื่อนาฬิชังคะ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแทนตน ฝากกราบแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทูลถามความสุขสำราญของพระองค์ด้วย แล้วถามว่า พระองค์ได้ตรัสอย่างนี้จริงหรือ พระองค์ตรัสอย่างไร ท่านจงจดจำเอามาบอกฉันด้วย

พราหมณ์ได้ทำตามพระเสาวนีย์ พระพุทธองค์รับว่า ตรัสอย่างนั้นจริง ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

พระองค์ยกตัวอย่างให้ฟังว่า

หญิงคนหนึ่ง แม่ตายแล้ว ก็เสียใจมาก จึงเดินพล่านไปตามถนนหนทาง ตามตรอกตามซอย ถามหาแต่แม่ของตนเองจากชาวบ้าน ซึ่งไม่มีใครหาแม่ให้เธอได้ เธอก็คร่ำครวญอยู่อย่างนั้น แล้วพระองค์ก็ตรัสถึงญาติตาย สามีภรรยาตาย ก็ครำ่ครวญอย่างนั้น

พระองค์ตรัสว่า ความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เกิดจากสิ่งที่รัก มาจากสิ่งที่รัก ใช่ไหม

พราหมณ์รับอย่างนั้น แล้วกลับมาบอกพระนางมัลลิกาเทวีอย่างนั้น

พระนางได้คำตอบแล้ว ก็ไปหาพระเจ้า ปเสนทิโกศล แล้วตั้งคำถามว่า

“ข้าแต่มหาราช พระกุมารีวชิรี เป็นที่รักของทูลกระหม่อมไหม เพคะ”

“ใช่ พระกุมารีวชิรี เป็นที่รักของเรามาก”

“แล้วหาก พระนางเป็นอะไรไป (สิ้นพระชนม์) พระองค์จะเศร้าโศก คร่ำครวญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ พร่ำเพ้อถึงนางไหม”

“หาก พระนางเป็นอะไรไป (สิ้นพระชนม์) ทำไมเราจะไม่เศร้าโศก คร่ำครวญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ พร่ำเพ้อถึงนางหละ”

“ความรู้สึกอย่างนี้แหละ ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมุ่งหมาย จึงตรัสว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก มีมาจากสิ่งอันเป็นที่รัก เพคะ”

แล้วพระนางมัลลิกา ยกเอาพระมเหสีพระโอรสธิดา รวมทั้งพระนางด้วย และยกเอาประเทศว่าเป็นที่รักของพระองค์หรือเปล่า พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ตรัสว่ารัก หากเป็นอะไรไปก็ต้องศร้าโศก คร่ำครวญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ พร่ำเพ้อถึง

เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล เห็นว่าความทุกข์ต่างๆเกิดจากสิ่งที่เป็นที่รัก มาจากสิ่งที่รักจริๆ ไม่มีคำโต้แย้งใด รู้สึกศรัทธาเลื่อมใสพระพุทธเจ้ามาก คิดว่า ทำไมเรื่องอย่างนี้ เราไม่เคยคิดเลย พระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร อัศจรรย์จริงๆ

แล้วตรัสว่า “มัลลิกา เอาน้ำมาล้างมือหน่อย”

พระองค์ล้างมือ บ้วนปากให้สะอาด ห่มผ้าเฉวียงบ่า แล้วประนมพระหัตถ์ไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่แล้วกล่าวว่า

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะนะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะนะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ

ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อธิบายธรรม

สังเกตการหาธรรมะ ระหว่างคหบดีกับพระนางมัลลิกา ต่างกันมาก คหบดี พยายามเชื่อและเป็นอย่างที่ตนเชื่อทั้งที่ขณะนั้นก็เป็นทุกข์มากมาย แต่มองไม่เห็นว่า นี้ทุกข์จากสิ่งที่รัก จึงหาแนวร่วมแบบตน ก็ได้คนคิดเหมือนตนจริงๆ ซึ่งชีวิตของคนเหล่านั้นก็หมกมุ่นอยู่แต่กับสิ่งที่รักแบบทุกข์ๆ ถึงกระนั้นเขาคิดไม่ได้เลยว่านี้มันทุกข์ มนุษย์ส่วนใหญ่เป็นอย่างคหบดีนั้น ไม่ยอมรับความจริงเพราะปัญญาไม่มีทั้งที่อยู่กับกองทุกข์

ส่วนพระนางมัลลิกา แม้ถูกด่าไล่ออกไปให้พ้นสายตา แต่พระนางไม่โกรธ กลับหาต้นตอว่า คำนี้เป็นมาอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสจริงหรือเปล่า แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสอย่างนี้ จนพระนางรู้ตามความเป็นจริง แล้วรู้จักแสดงธรรมแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลอีกด้วย

นางได้ปัญญาแล้วทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ปัญญาด้วย ยิ่งกว่านั้น เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว พระองค์กลับเลื่อมใสพระพุทธเจ้ามาก แม้เพียงจะพนมมือ พระองค์ก็ล้างให้สะอาดก่อน แม้เพียงจะกล่าวคำนอบน้อมถึงพระพุทธเจ้า ก็บ้วนปากให้สะอาดก่อน

พวกเราทั้งหลาย ก็เป็นเหมือนคหบดี อยากมีความชื่นชมยินดีความปลื้มใจโสมนัสจากสิ่งที่รักอย่างเดียว จนมองไม่เห็นว่ามันทุกข์ตรงไหน หรือทุกข์จริงมันก็ธรรมดา ไปสนใจมันทำไม ทั้งที่ทุกข์ปางตายตาม

แม้ขณะอยู่ในทุกข์ปางตาย ก็ยังไม่เห็นว่าสิ่งที่รักมันก่อทุกข์ตรงไหน เมื่อจมปลักอยู่ในทุกข์อย่างนี้ ก็เหมือนหนอนในซากเนื้อเน่า ชินแล้ว มันจะเหม็นตรงไหน หอมอีกต่างหาก

การได้แสดงความทุกข์ทรมานต่อสิ่งที่รักเป็นความสุขอย่างหนึ่ง เป็นการแสดงความมีน้ำใจอย่างหนึ่งของคนเหล่านี้ เป็นเหมือนหนอนกินเนื้อเน่า

แต่หากเข้าใจชัดถึงความทุกข์อันเกิดจากสิ่งที่รัก หรือความชื่นชมยินดีที่จะแปรเปลี่ยนเป็นทุกข์จากสิ่งที่รักแล้ว เราจะมีความสุขมาก เหมือนพระเจ้าปเสนทิโกศล เราจะได้สุขทั้งจากสิ่งที่รัก และวันหนึ่งสิ่งที่รักดับไป เราก็สุขเช่นกัน สุขแบบอุเบกขา เพราะรู้แล้วเห็นแล้วเตรียมใจไว้แล้ว หรืออย่างน้อยก็ควบคุมตนได้ ไม่ถึงกับต้องศร้าโศก คร่ำครวญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ พร่ำเพ้อถึงแบบฟูมฟาย

การเสพสื่อ ก็ควรเสพอย่างพระนางมัลลิกา ควรตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่เป็นจริง ไม่ใช่เอาความเชื่อเอาความชอบใจของตนเป็นตัวตั้ง แล้วอะไรที่ตนชอบหรือเชื่อแล้ว ก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ แล้วก็แชร์ต่อๆกันไปเรื่อย เป็นการแชร์ความเชื่อที่นอกจากตนเองไม่รู้(โง่)แล้ว ยังช่วยให้ผู้อื่นไม่รู้ตามด้วย (โง่ตามอีก) แต่คนเหล่านี้มักมั่นใจความเชื่อของตนเอง เหมือนคหบดีนี้

อ้างอิง

https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=13&siri=37

You may also like...

Popular Articles...