Buddhadhamma Tepitaka Sakkarasutta - 1822, 10.19 PM
Buddhadhamma Tepitaka Sakkarasutta – 1822, 10.19 PM
popularity:0
  • Description

Buddhadhamma Tepitaka Sakkarasutta – 1822, 10.19 PM

ทบทวนธรรม

ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎ

เรื่อง สักการสูตร

คนพาลมักมองคนดีเป็นศัตรูเสมอ

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลก ประชาชนชาวอินเดียในสมัยนั้น สักการะเคารพ นับถือ บูชา นอบน้อมพระองค์ ถวายปัจจัยสี่แด่พระองค์มากมาย แม้พระภิกษุสงฆ์ มหาชนก็การสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ถวายปัจจัยสี่มากมายเช่นกัน

ส่วนพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ไม่ได้อะไรเลย แม้การเคารพนับถือก็จืดจางไปเกือบหมด จึงเดือดร้อน ทนไม่ได้กับการที่ประชาชนนับถือพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์และถวายปัจจัยสี่มากมาย ตรงกันข้ามกับพวกตนที่ได้ปัจจัยสี่น้อยเหลือเกิน ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน

จึงอิจฉา ริษยา พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์มาก ดังนั้น เวลาเห็นพระภิกษุสงฆ์ที่ไหน ก็จะด่า ข่มขู่ เกรี้ยวกราดใส่ด้วยคำหยาบคาย และคนกลุ่มลัทธิเหล่านี้ ก็พยายามใส่ร้ายป้ายสีพระพุทธเจ้าวิธีการต่างๆ ด้วย

พระภิกษุสงฆ์ จึงได้กราบทูลเรื่องนี้ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงเรื่องดังกล่าวนี้

พระพุทธองค์ ตรัสว่า

(เมื่อ)เธอทั้งหลายได้รับสุขและทุกข์ (ไม่ว่า)ในบ้าน(หรือ)ในป่า(ก็)อย่าใส่ใจ(ถึง)สุขและทุกข์นั้นว่า มีสาเหตุมาจากตน หรือจากคนอื่น

ผัสสะ (คือการเห็นรูปทางตา ได้ยินเสียงทางหู รู้กลิ่นทางจมูก รับรสทางลิ้น ถูกต้องทางกาย รู้การคิดทางใจ)จะเกิดได้ ก็เพราะอุปธิ (คือขันธ์ห้า) เมื่อไม่มีอุปธิ (คือขันธ์ห้า) ผัสสะจะเกิดได้อย่างไร

อธิบายธรรม

ฝึกปล่อยวางทำได้ยาก แต่เพียงแค่ฝึกปล่อยวาง ความทุกข์ก็ถูกแบ่งสัดส่วนให้ดับทันที ฝึกบ่อยๆสัดส่วนของทุกข์ก็จะเหลือน้อยไปเรื่อยๆ จึงคุ้มค่าที่จะฝึก

เรื่องอะไรก็ตามที่เกิดแก่พระภิกษุสงฆ์แล้วคนเข้าใจผิด จึงตำหนิติเตียนพระภิกษุสงฆ์ หรือตำหนิพระพุทธเจ้า พระองค์จะให้พระภิกษุสงฆ์กำหนดสติให้ดี ไม่ให้โกรธต่อคนเหล่านั้น แล้วพระองค์ให้พระภิกษุสงฆ์ชี้แจงความจริงให้คนเหล่านั้นฟัง ให้เข้าใจเรื่องตามความเป็นจริง แต่หากคนที่ตำหนิด่าว่าพระพุทธเจ้า พระภิกษุสงฆ์เพราะอิจฉาริษยาไม่พอใจเพราะไม่ชอบ ถึงชี้แจง บอกความจริงไป คนเหล่านั้นก็ไม่สนใจรับฟัง เพราะเขาไม่ต้องการเหตุผล กับคนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจะให้พระภิกษุสงฆ์ปล่อยวาง อย่าสร้างตัวตนมารับคำด่าหรือแม้แต่คำสรรเสริญเยินยอ

เมื่อใดก็ตาม มีตัวตนแล้ว สุขทุกข์ก็เกิด

พระพุทธเจ้า ให้เราดับสุขและทุกข์ที่ได้รับมาจากไหนก็ตาม แทนการไปโต้เถียง ไปทะเลาะกับใคร เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ ถึงเถียงชนะเถียงแพ้ก็ไม่เกิดประโยชน์ หรือสู้ชนะสู้แพ้ก็ไม่เกิดประโยชน์

การดับสุขและทุกข์ ก็ต้องดับทางที่มันเข้ามา คือทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือขันธ์ห้านี้เอง ขันธ์ห้าที่ยึดว่าเป็นตัวตนของเรานี้แหละ หากไม่ยึด ความทุกข์ก็ไม่มีที่มา ความทุกข์ไม่ได้เกิดจากเรา ไม่ได้เกิดจากเขา เมื่อพิจารณาว่าขันธ์ไม่มีแล้ว ผัสสะก็เกิดไม่ได้

ทันขันธ์ห้าก็ทันทุกข์และสุข

เราลองมาตรวจดูตามความจริงว่า เวลาสุขหรือทุกข์เกิด มันเกิดอยู่ตรงไหน ทำไมมันถึงสุขหรือทุกข์ หากมีคนชม เราก็มีความสุข อันนี้ข้ามไปก่อน เรามาดูความทุกข์ดีกว่า เช่นเวลาเกิดความทุกข์ เราลองพิจารณาดูว่า ความทุกข์มันตั้งอยู่ตรงไหน อะไรคือความทุกข์

มองจากเส้นผมบนศรีษะก่อน ความทุกข์อยู่ในเส้นผมหรือเปล่า อยู่กับหนังศรีษะหรือเปล่า อยู่กับกระโหลกศรีษะหรือเปล่า อยู่ในสมองหรือเปล่า มองลงมาเรื่อยๆ มันอยู่ตามลำไส้ กระเพาะอาหาร ในกองอุจจาระปัสสวะ หรือมันอยู่กับปลายเล็บเท้า เมื่อมองตามความเป็นจริงอย่างนี้ เราก็ไม่เห็นความทุกข์เลย หรือหากเห็นว่าความทุกข์มันเกาะอยู่ที่ตรงส่วนไหนของร่างกาย เราก็ต้องเอาออกได้ แล้วก็ไม่ให้เกิดอีกได้

หากเราโมเมเอาเองว่า อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย คือตัวเรา เราก็ต้องสั่งได้ บังคับได้ ควบคุมได้ เช่นอย่าให้มันเจ็บ อย่าให้มันป่วย อย่าให้มันแก่ อย่าให้มันตาย อย่าให้มันเน่า ให้มันอยู่อย่างเดิม ให้มันผ่องใส ให้มันเปล่งปลั่ง ให้มันสวยงามตลอดเวลา จะเห็นว่าเราสั่งการอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าส่วนไหนของร่างกาย สั่งไม่ให้ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ก็สั่งไม่ได้เลย สั่งไม่ให้หิว ไม่อยาก ก็สั่งไม่ได้เลย

ถึงขนาดนี้แล้ว ความรู้สึกว่าตัวเราก็ยังมี แต่หากจะให้จิตที่มันยึดว่า “เรา” นี้ ให้มันยอมรับจริงๆ ว่ามีเรา มีของเรา มันก็ไม่เอาอีก เช่น น้ำลายที่ถ่มทิ้ง ลงพื้นดิน หากยังยึดว่าเป็นเรา เพราะมันออกจากตัวเรา ก็ต้องเอาน้ำลายเข้าสู่ร่างกายเหมือนเดิม ไม่ควรทิ้งเพราะมันเป็นเรา เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา จิตที่ยึดว่าเรา มันก็ไม่เอา ไม่ยอมดื่มกินน้ำลายตนเองแน่นอน หรือเกิดหนอง เลือดช้ำ ก็ต้องบ่งออก หากยังยึดว่า นี้เรา ก็ดื่มกลับเข้าร่างเหมือนเดิม เพราะมันเป็นเรา จิตที่เคยยึดว่าเราว่าของเรา มันก็ไม่เอาอีก ทุกๆชิ้นส่วนของร่างกายนี้ ตอนนี้ที่มันยังดูดี ใช้การได้ ก็หลงยึดว่าเรา ว่าของเรา แต่หากมีส่วนไหนใช้ไม่ได้ หลุดออกมา จิตที่ยึดว่าเราว่าของเรา มันจะรังเกียจทันที ไม่เอาแล้ว

พิจารณาเพียงแค่นี้ ก็เห็นความจริงแล้วว่า ไม่มีเราจริงๆ เมื่อไม่มีเรา แล้วความรู้สึกสุขและทุกข์เกิดได้อย่างไร ก็เพราะสติไม่มี ปัญญาไม่มี จึงหลงโมเมเอาอวัยวะนี้เป็นของเรา เพราะมีเรา เราจึงทุกข์ แต่หากพิจารณาให้ลึกๆ แล้ว คำด่า มันไปทำลายส่วนไหนของร่างกายให้สึกหรอ หรือเนื้อหนังส่วนไหนมันกระเด็นออกจากร่างบ้าง ก็ไม่มี แต่ทำไมยังเป็นทุกข์ ก็เพราะมีเราตามอวัยวะส่วนต่างๆ คือเหมารวมเอาทุกส่วนของร่างกายนี้ว่าเรา

คือยึดรูป อวัยวะทุกส่วนว่าเป็นเรา

ยึดความรู้สึก(เวทนา)สุข ทุกข์ ว่าเป็นเรา

ยึดความจำ(สัญญา)เรื่องโน้นเรื่องนี้ได้ว่าเป็นเรา

ยึดว่าเราคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้(สังขาร)ว่าเราคิด

ยึดว่าเราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้รู้สึกทุกข์ เราเป็นผู้รู้สึกสุข (วิญญาณ)ว่าเป็นเรา

องค์ประกอบ ๕ อย่างนี้แหละมันสร้างเรา หากรู้ทันองค์ประกอบ ๕ อย่างนี้แล้ว การหลงว่า เราเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น เรารู้รส เราเย็นร้อนอ่อนแข็ง เราคิด ก็ไม่มี มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันแค่นั้น เช่นอยากกินมะม่วง ก็กินมะม่วงไป เนื้อมะม่วงก็กระทบลิ้น ฟันเคี้ยวเพื่อบดให้แตกเป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นเนื้อมะม่วงไหลไปตามลำไส้ แล้วนอนนิ่งอยู่ในกระเพาะ น้ำย่อยออกมาเผาผลาญบดให้ละเอียด ส่งชิ้นมะม่วงที่เล็กที่สุดแม้ตาก็มองไม่เห็นไปตามลำใส้เล็ก แล้วเลือดก็ขนชิ้นที่เล็กนั้นไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย เซลล์ก็แปลงมะม่วงนั้นให้กลายเป็นทุกส่วนของร่างกาย เช่นเป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นกระดูก เป็นตับไตไส้พุง และแม้เป็นส่วนหนึ่งให้จิตเกิด

การเดินทางของมะม่วงนั้น มีใครสั่งให้มันไปทำหน้าที่ต่างๆของร่างบ้าง ก็ไม่มี มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันเอง จิตสุขและทุกข์ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน แม้จิตที่ยึดมั่นว่าเราว่าของเรา มันก็เป็นหน้าที่ของจิตตัวนั้นที่ทำหน้าที่ของมันตามเหตุตามปัจจัยของมัน คือหน้าที่ของจิตตัวนี้ มันต้องโง่และต้องทำหน้าที่โง่ให้มากที่สุด หากจนมุมจริงๆมันก็หนี ไม่เอาแล้ว เช่นหลงยึดน้ำลายที่ยังไม่ออกจากกายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา แต่เมื่อใดน้ำลายกระเด็นออกจากปากแล้ว ให้ความโง่ตัวนี้มันไปดื่มกลืนกินน้ำลายนั้น มันก็ไม่เอา มันหนีไปแล้ว

แม้จิตที่หลงยึดความคิดอื่นๆ ก็เป็นไปทำนองนี้ จิตนี้ก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมชาติ อันไหนเกิดบ่อย อันนั้นก็มีปริมาณมาก ความคิดหลงยึดเกิดบ่อยมันเพิ่มปริมาณตัวมันเองมาก มากจนไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด มันจึงพาทำชั่วได้สบายๆ

เมื่อเข้าใจความจริงของธรรมชาติว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัยแล้ว สุขทุกข์ของเราก็ไม่มี เราเขาก็ไม่มี เพราะหลงยึดเอาขันธ์ห้าว่าเป็นเรา จึงหลงยึดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าเป็นเรา เมื่อไม่หลงยึดเอาขันธ์ห้าให้เป็นเราแล้ว ผัสสะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่มีเรา ผัสสะก็ดับตั้งแต่ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกรู้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายเย็นร้อนอ่อนแข็ง สติเห็นความคิด

เรารับประทานอาหาร เรารู้ว่าอิ่มหรือไม่อิ่ม รู้ปริมาณของมัน แต่อารมณ์ทุกข์ เรารู้ได้ยาก ที่สุดของความทุกข์ เรารู้ได้ยาก เป้าหมายของความทุกข์เราก็รู้ได้ยาก ที่รู้ได้ยาก เพราะเราไม่รู้จักความทุกข์ หากเรามีสติปัญญากำหนดรู้ทุกข์ กำหนดตามความทุกข์ เราก็จะเห็นว่า สุดท้ายแล้ว เหลือแต่ความว่าง มองกว้างๆดู เช่นกายที่เป็นทุกข์ทรมานเพราะอารมณ์ สุดท้ายแล้วก็ต้องตายและถูกเผาทิ้ง เหลือแต่ขี้เถ้า เอาขี้เถ้าโปรย ลมพัดกระจาย ความเป็นกายความเป็นตัวตนของเราก็ว่าง ความทุกข์ที่เคยทรมาน ก็ไม่มี ยามที่ทุกข์เกิดเหมือนมีตัวตน แต่พอทุกข์ดับ ความทุกข์ก็ว่าง ความทุกข์ไม่มี ยิ่งกายดับความทุกข์ยิ่งว่าง ทุกสรรพสิ่งว่างทุกขณะ แต่เพราะเราไม่มีสติปัญญากำหนดรู้ตาม ความว่างจึงมีตัวตน พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ทันความว่างขณะยังมีชีวิตอยู่ แล้วเราจะไม่สุขหรือทุกข์เพียงแค่อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมากระทบ

สมดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

เธอทั้งหลายได้รับสุขและทุกข์ ในบ้าน(หรือ)ในป่า

ไม่ควรใส่ใจสุขและทุกข์นั้นว่ามีสาเหตุมาจากตน หรือคนอื่น

ผัสสะทั้งหลายจะสัมผัสได้ก็เพราะอาศัยอุปธิ

เมื่อไม่มีอุปธิ ผัสสะทั้งหลายจะสัมผัสได้อย่างไร

การที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามีคนเคารพนับถือพระองค์มาก ก็เพราะพระองค์สั่งสมบุญไว้มากมาย แม้พระภิกษุสงฆ์ก็เช่นเดียวกัน บุญนั้นเองทำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า บุญนั้นเองทำให้มีคนบวชตามพระองค์มากมาย เป็นพระอรหันต์ มากมายเหลือคณานับ

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมให้คนเห็นตามมากมาย หมู่มนุษย์เทวดาเคารพนับถือพระองค์ เพราะพระองค์ทรงมีพระเมตตา กรุณาต่อสรรพสัตว์ ไม่ได้แสดงธรรมเพื่อให้ใครมาเคารพนับถือ คนที่พิสูจน์ธรรมะนั้นแล้วเห็นตามความเป็นจริง จึงศรัทธาเคารพนับถือพระองค์และพระภิกษุสงฆ์ แล้วจึงกล้าทำบุญอย่างไม่สงสัย เพราะเห็นจริงแล้ว

นักบวชอื่นๆที่ไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ ก็อับแสงไปเอง ทั้งที่เมื่อก่อนมีคนเคารพนับถือมาก มีลาภสักการะมาก แต่บัดนี้ หมดแล้ว จึงหาวิธีกำจัดพระพุทธเจ้า เที่ยวด่าว่า ข่มขู่เกรี้ยวกราดพระภิกษุสงฆ์

คนขี้อิจฉาริษยา มีนิสัยอย่างนี้ทุกราย ทุกยุคทุกสมัย เพราะเขาเป็นคนชั่ว จึงคิดแบบชั่วๆ หาทางทำลาย หาทางกำจัด แทนที่จะเอาอย่างคนดี คนที่ประสบความสำเร็จ กลับทำลายเพื่อให้ตนโดดเด่น คนขี้อิจฉาริษยา ไม่มีใครโดดเด่นจริง ถึงกำจัดคนที่ตนอิจฉาริษยาได้ แต่ไม่นานเลย เขาจะต้องล่มสลายมีนรกเปรตคอยอยู่เบื้องหน้าแน่นอน

บางคนอาจทำลายคนที่ตนอิจฉาริษยาไม่ได้ แพ้ภัยตัวเองก็มากมาย คนดีจริง จึงไม่ควรสนใจใส่ใจกับคนชั่วให้เสียเวลาทำความดีของตน หรือเอาคนชั่วเหล่านั้นเพิ่มพูนขันติธรรมของตนให้สูงยิ่งขึ้น ด้วยการทำตน ดังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแล้วนั้น

อ้างอิง

https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=49

You may also like...

Popular Articles...