
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Sucilomasutta 7 57 PM-1
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง สูจิโลมสูตร
คนมักง่ายจะได้สิ่งสกปรก
(ขอปรับคำอธิบายพระอรรถกถาจารย์ให้อ่าน)
มียักษ์ตนหนึ่ง ชื่อว่าสูจิโลม เคยบวชเป็นพระภิกษุในยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป สัมมาสัมพุทธเจ้า
ครั้งหนึ่ง ท่านไปกิจธุระทางไกล กลับมาถึงวัดแล้ว มีเหงื่อไคลท่วมตัว รีบพักผ่อนด้วยความเหน็ดเหนื่อย จงล้มตัวนอนบนเตียงสงฆ์ที่ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม โดยไม่ปูลาดอะไรบนเตียงของสงฆ์เลย นอนอย่างไม่สนใจใยดีต่อความงามของสถานที่แม้แต่น้อย
ท่านเป็นพระภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ แต่การกระทำที่ไม่เหมาะสมนั้น ได้เป็นเหมือนสีดำบนผ้าขาวสะอาด ท่านจึงไม่อาจทำคุณวิเศษคือสมาธิกรรมฐานวิปัสสนากรรมให้เกิดขึ้นในอัตภาพนั้นได้เลย ด้วยกรรมที่ทำเสนาสนะสงฆ์อันวิจิตรงดงามนั้นให้สกปรก หลังจากมรณกาลแล้ว มาเกิดเป็นยักษ์ที่กองขยะใกล้ประตูบ้านคยา ตั้งแต่เกิดมาแล้ว ก็มีขนแหลมแข็งทั้งตัวเหมือนขนวัว จึงชื่อว่า “สูจิโลมยักษ์”
มียักษ์อีกตนหนึ่ง เป็นเพื่อนกัน หน้าตาก็ไม่แตกต่างกันนัก รูปร่างแข็งทื่อเหมือนหลังจระเข้ เหมือนหลังคาไม่เรียบด้วยกระเบื้องมุงหลังคา
เล่ามาว่า เขาเคยเป็นอุบาสกผู้ประกอบด้วยศีลในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันหนึ่ง มีกิจธุระต้องนอนวัด ด้วยความเป็นคนง่ายๆ จึงไม่ได้ปูผ้าห่มของตนบนพื้นเสนาสนะของสงฆ์ นอนบนพื้นอันวิจิตรสวยงามในวิหาร อาจารย์บางท่านกล่าวว่า เขาแบ่งน้ำมัน(คล้ายครีมทาตัว)ของสงฆ์ทาสรีระด้วยมือของตน ที่สงฆ์ยังไม่อนุญาต เขาเป็นอุบาสกมีศีลก็จริง แต่กรรมที่ไม่เหมาะนั้น ก็ทำให้เกิดในสวรรค์ไม่ได้ มาเกิดเป็นยักษ์ที่กองขยะใกล้ประตูบ้านแห่งบ้านคยานั้น ตั้งแต่เกิด ทั่วกายของเขาจึงเป็นเหมือนหลังจรเข้ เหมือนหลังคาบ้านที่มุงกระเบื้องไม่เรียบ
ต่อมาวันหนึ่งในเวลาใกล้อรุณขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูโลก ทรงเห็นสูจิโลมยักษ์นั้นปรากฎในพระญาณ จึงทรงดำริว่า ยักษ์นี้เสวยทุกข์ใหญ่ตลอดพุทธันดรหนึ่ง ความสวัสดีจะพึงมีแก่เขาเพราะอาศัยเราหรือไม่หนอ ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งมรรคเบื้องต้นของยักษ์นั้น
ทีนั้น ทรงประสงค์จะทำการสงเคราะห์ยักษ์นั้น ทรงนุ่งผ้า ๒ ชั้นที่ย้อมแล้ว ห่มจีวรใหญ่ขนาดสุคตประมาณ ละพระคันธกุฎีดุจวิมานเทวดา เสด็จไปสู่ที่กองขยะบ้านคยา ตรงนั้นเหม็นมากเพราะมีทรากศพช้าง วัว ม้า มนุษย์และสุนัขเป็นต้น ประทับนั่งในที่นั้นเหมือนนั่งในพระคันธกุฎีใหญ่
ที่ตรงนั้น ก็คือที่อยู่ของยักษ์สูจิโลมะ นั้นเอง ขณะนั้น หลังจากยักษ์ทั้งสองกลับจากธุระ ขระยักษ์เห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่บนตั่ง จึงถามว่า เห็นสมณะนั่นไหม
สูจิโลมยักษ์ตอบพร้อมกวาดสายตามองหาสมณะที่ว่านั้น
ไหนสมณะ ไม่มีหรอก ถ้ามีก็แค่สมณกะ (สมณะขี้กลัว) แต่จะเป็นสมณะ หรือสมณกะ ช่างเถอะ เดี๋ยวรู้กัน
ยักษ์สูจิโลมะหยิ่งผยองปนหงุดหงิดที่มีใครบังอาจมานั่งอยู่บริเวณของตน จึงคิดแบบเดิมๆที่เคยทำมาก่อน คือแสดงอาการน่ากลัวใส่
คิดดังนี้แล้ว สูจิโลมยักษ์เข้าไปนั่งเบียดพระผู้มีพระภาคบนเตียง(นึกสภาพเตียงข้างกองขยะ)ที่พระองค์ ประทับอยู่ แล้วก็ทำกายตนให้น่ากลัว อ้าปากกว้าง กลิ่นเหม็นคลุ้งตลบบริวเวณนั้น พองขนแข็งทั้งตัว (เหมือนเม่น) ถูกพระวรกายของพระองค์ เพื่อให้พระองค์หนีไป
พระผู้มีพระภาคทรงกระเถิบถอยพระกายไปเล็กน้อย ฯ
สูจิโลมยักษ์ถามพระผู้มีพระภาคอย่างผยองตนว่า ท่านกลัวเราไหม
สมณะ ฯ
อาวุโส เราไม่กลัวท่านเลย แต่สัมผัสของท่านหยาบมาก ฯ
สมณะ ขอถามปัญหาท่านหน่อย ถ้าท่านไม่ตอบ เราจักทำจิตของท่านให้พลุ่งพล่าน หรือจักฉีกหัวใจของท่าน หรือจักจับที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำคงคา ทันที
อาวุโส เราไม่เห็นใครเลยในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่จะพึงทำจิตของเราให้พลุ่งพล่าน หรือฉีกหัวใจเรา หรือจับเราที่เท้าแล้วเหวี่ยงไปฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำคงคาได้ อาวุโส เอาเถอะ ท่านจงถามตามที่ท่านอยากถามเถิด
สูจิโลมยักษ์ จึงถามว่า
ราคะแลโทสะ มีอะไรเป็นเหตุ
ความไม่ยินดี ความยินดี และความสยดสยอง เกิดแต่อะไร
ความตรึกในใจเกิดแต่อะไรแล้วตรึงจิตไว้ เหมือนพวกเด็กผูกตีนกาไว้ ฉะนั้น ฯ
(ปรับสำนวนใหม่ “ราคะและโทสะมีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย(ให้เกิด) ความไม่ชอบใจหรือชอบใจ และความกลัวจนพองสยองเกล้าเกิดจากอะไร อะไรตรึงความคิดไว้เหมือนพวกเด็กตรึงกา(ด้วยเชือก)ไว้ฉะนั้น)
เพราะยักษ์นั้น เคยบวชเป็นพระภิกษุมาแต่ชาติปางก่อน จึงฉลาดในธรรมะ(แต่ไม่รู้แจ้งธรรมะ) จึงถามได้อย่างลึกซึ้ง เป็นการถามเพื่อลองภูมิดูว่า สมณะนี้ รู้เท่าตนหรือเปล่า
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ราคะแลโทสะมีอัตภาพนี้เป็นเหตุ ความไม่ยินดี ความยินดี และความสยดสยองเกิดแต่
อัตภาพนี้ ความตรึกในใจเกิดแต่อัตภาพนี้แล้ว ดักจิตไว้เหมือนพวกเด็กดักกา ฉะนั้น ฯ
(ปรับสำนวนใหม่ “ราคะและโทสะมีกายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย(ให้เกิด) ความไม่พอใจ ความพอใจและความกลัวจนขนพองสยองเกล้า เกิดจากกายนี้ มโนวิตก (ความคิดจนติดใจ)ก็เกิดจากกายนี้ผูกไว้ เหมือนเด็กผูกตีนกาไว้แล้วปล่อยไป ย่อมตกมาที่เด็กเหมือนเดิม ฉะนั้น)
อกุศลวิตกเป็นอันมาก เกิดจากความเยื่อใยคือตัณหา เกิดขึ้นในตนแล้วแผ่ซ่านไปในวัตถุกามทั้งหลาย เหมือนย่านไทร
เกิดแต่ลำต้นไทรแล้วแผ่ซ่านไปในป่า ฉะนั้น ฯ
(ปรับสำนวนใหม่ “ความคิดอันเป็นอกุศลเกิดเพราะตัณหาคือความเยื่อใย เกิดขึ้นในตนแล้วแผ่ไปในกามคุณห้า (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) เหมือนเถาย่านไทร เกิดจากต้นไทรแล้วโอบล้อมต้นไทร แล้วแผ่ไปตามต้นไม้อื่นในป่า ฉะนั้น”)
ชนเหล่าใดรู้อัตภาพนั้นว่าเกิดจากสิ่งใด
ชนเหล่านั้นย่อมบรรเทาเหตุเกิดนั้นเสียได้
ดูกรยักษ์ ท่านจงฟัง ชนเหล่านั้นย่อมข้ามห้วงแห่งกิเลสนี้ซึ่งข้ามได้ยาก อันตนไม่เคยข้ามเพื่อความไม่มีภพใหม่ต่อไป
(ใครที่รู้ว่าอัตภาพคือกายนี้เกิดจากอะไร ควรละเหตุนั้น(สมุทัย)เสีย ดูกรยักษ์ ท่านจงฟังเถิด คนเหล่านั้นข้ามห้วงกิเลสซึ้งข้ามได้ยาก ไม่เคยข้ามมาก่อน (แต่ก็ข้ามได้) เพื่อไม่ต้องกลับมาเกิดอีก)
เพียงแค่ต้องการลองภูมิเท่านั้น ถามแล้วก็ลุกขึ้นยืน ดูสิว่า สมณะนี้จะตอบได้หรือเปล่า แต่พอพระพุทธเจ้าตอบ ก็ลืมตนไปว่าแค่ลองภูมิ กลับมีสติส่งปัญญาญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนา พอจบพระธรรมเทศนาก็บรรลุโสดาปัตติผลทันที
พลังของพระอริยธรรมจะเกิดในคนที่สกปรกโสโครก กายน่าเกลียดไม่ได้
เพราะฉะนั้น หัวหูด ขนแหลมอย่างเข็มทั้งร่างกายของยักษ์สูจิโลมะ จึงร่วงไปพร้อมกับได้โสดาปัตติผล ยักษ์สูจิโลมะนั้นจึงนุ่งผ้าทิพย์ ห่มผ้าทิพย์ โพกผ้าทิพย์ ทรงเครื่องประดับของหอมและมาลัยทิพย์ มีผิวพรรณดังทอง ได้ปกครองภุมมเทวดา
อธิบายธรรมเพิ่มเติม
ถ้าไม่มีกายนี้ กิเลสก็เกิดไม่ได้ กิเลสเกิดได้ก็เพราะกายนี้ คือกายนี้เป็นสถานที่ตั้งให้กิเลสคือจิตเกิด และก็เพราะกิเลสนั่นเองทำให้เกิดกายนี้ ในขณะเดียวกันหากกิเลสไม่มีกายนี้ ก็เกิดไม่ได้ มีไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องละกิเลสอันเป็นต้นตอให้เกิดกาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมนี้ เพื่อให้เห็นว่าจิตกับกายสัมพันธ์กัน เพื่อให้ยักษ์เห็นได้ง่ายว่า ที่ตนได้กายน่าเกลียดนี้ก็เพราะจิตคือกิเลสของท่านนั้นเอง ชาติก่อนเพราะกายมีเหงื่อท่วมตัวแล้วนอนบนพื้นเสนาสนะสงฆ์อันวิจิตรงดงามตระการตา โดยไม่ปูผ้าก่อน ทำให้เสนาสนะสกปรก เพราะจิตตัวเกียจคร้าน คิดแต่เสียเวลาที่จะปูผ้า กายสกปรกเป็นเหตุให้จิตสกปรกเกิด เมื่อจิตสกปรกเกิดจึงได้กายที่สกปรกนี้
ในสมัยที่สุจิโลมายักษ์ตนนี้ บวชเป็นพระภิกษุในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า วันหนึ่ง ท่านไปกิจธุระนอกวัด กลับมาแล้วมีเหงื่อท่วมตัว คงจะเหน็ดเหนื่อย ท่านก็เลยล้มตัวนอนบนเตียงสงฆ์ที่สวยงาม โดยไม่ได้ปูผ้าอะไรเลย ( อีกทั้งท่านก็น่าจะมักทำอย่างอื่นด้วยวิธีง่ายๆแบบนี้ด้วย )
นิสัยมักง่ายสบายๆ ดูเหมือน เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อันที่จริงแล้วคนมักง่ายคือคนใจหยาบ พระภิกษุรูปนั้น จึงทำสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานไม่เจริญงอกงามเลย
ความเป็นคนง่ายๆ ทำให้เป็นคนมักง่าย ไม่ได้สนใจใยดีถึงความสวยงามของศิลปะ อันเป็นของสงฆ์ ความมักง่ายคือความหยาบของจิต ตรงกันข้ามกับจิตที่ละเอียดคือสมาธิ และความมักง่ายนี่เองกลับติดตัวข้ามพบข้ามชาติ และความมักง่ายนี้เองทำให้เราได้รูปร่างหน้าตาตามความมักง่าย
ความเป็นคนง่ายๆ อะไรยังไงก็ได้ มันง่ายที่จะเป็นคนมักง่าย คนไม่รักศิลปะก็จะไม่เห็นคุณค่าของศิลปะ ความเป็นคนมักง่ายมันก็จะส่งผลให้เรา มักทำอะไรแบบง่ายๆ ทำสักแต่ว่าให้เสร็จไป ไม่สนใจถึงความสวยงาม ไม่สนใจถึงความละเอียดอ่อนของงาน ของศิลปะ
ความเป็นคนง่ายเป็นสิ่งที่ดี หากความง่ายนั้นอยู่ในศีลไม่ทิ้งธรรม เราจึงควรเป็นคนละเอียด เป็นคนที่ใส่ใจในงานทุกเรื่อง ในการกระทำทุกการกระทำของเรา เพราะการกระทำของเรามันคือนิสัยเรา การกระทำปัจจุบันส่งผลให้เป็นอย่างที่ทำในอนาคต
ฝึกนิสัยให้เป็นคนขี้เกรงใจสถานที่ ให้เป็นคนเคารพสถานที่ ให้เป็นคนเคารพสิ่งของให้เกียรติสิ่งของ ใช้สิ่งของด้วยความเกรงใจด้วยความเคารพ ทะนุถนอมสิ่งของ ไม่ใช่คิดว่าเขาไม่มีหัวจิตหัวใจแล้วจะกระชากลากถูอย่างไรก็ได้
คนไม่ให้เกียรติสิ่งของ ไม่ให้เกียรติสถานที่ ไม่เคารพสถานที่ ให้เกียรติสถานที่ไม่เป็น เคารพสถานที่ไม่เป็น สถานที่แห่งนั้นก็จะสกปรก ความสวยงามก็มัวหมอง พื้นเสนาสนะที่งดงามก็ถลอกปอกเปิก สิ่งของเครื่องใช้ ก็สึกหรอง่ายและเร็ว แทนที่ความสวยงามจะคงอยู่นาน แทนที่ประโยชน์จากสิ่งของจะใช้ได้นาน กลับเสียหายเพราะคนมักง่าย
คนมักง่าย ก็จะได้รับผลกรรมเหมือนสูจิโลมยักษ์นี้ และอุบาสกผู้มีศีลบริสุทธิ์ แต่ เป็นคนมักง่าย นอนไม่ปูผ้าบนพื้นอันสวยงามของเสนาสนะสงฆ ก็ได้รับผลกรรมคล้ายกับยักษ์เช่นเดียวกัน หรือใช้น้ำมันทาตัว (ปัจจุบันประเภทครีมทาตัว)โดยไม่ขออนุญาต ด้วยผลกรรมนั้นทำให้เขามีตัวเหมือนหนังจระเข้
ความมักง่ายไม่ไตร่ตรอง ทำให้พระภิกษุรูปนั้นและอุบาสกท่านนั้นมีบ้านอยู่กับกองขยะ มักง่ายคือขี้เกียจ จึงได้ความสกปรกเป็นที่อยู่อาศัย และเสวยความทุกข์อันสกปรกเหม็นเน่านั้นตลอดเวลาหนึ่งพุทธันดร ดูเหมือนกรรมเล็กน้อย แต่ทรมานเหลือเกินจนผ่านยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง จึงพ้นทุกข์ได้ ทุกการกระทำของเราไม่ได้สูญหายเลยแม้แต่นิดเดียว คอยเป็นเจ้าของเรา คอยเป็นของเราอยู่ตลอดเวลา
ในคัมภีร์ไม่ได้กล่าวว่าขระยักษ์บรรลุโสดาบัน แต่น่าจะได้คุณธรรมที่สูงยิ่งขึ้น ส่วนสูจิโลมยักษ์ได้บรรลุโสดาบัน ด้วยผลบุญที่บวชเป็นพระภิกษุปฏิบัติกรรมฐาน สะสมพลังกรรมฐานไว้ จึงบรรลุธรรมได้ไว ความงามของโสดาบัน ทำให้กายที่น่าเกลียดหายเกลี้ยง กลายเป็นกายงามเปล่งปลั่งรัศมีแผ่กระจาย กลับเป็นเทวดาทันที และเป็นหัวหน้าภุมมเทวดา
คนมักง่ายใจมักหยาบ ใช้สิ่งของส่วนตัวก็ได้บาป ใช้สิ่งของ ของผู้อื่นก็ได้บาป ใช้สิ่งของสาธารณะยิ่งได้บาป ใช้ของสงฆ์ผู้มีศีล ได้บาปหนักขึ้นไปอีก
https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=15&A=6655
……weiter mit Dhamma Podcast vom Wat Dhammavihara Hannover