
- Description
Buddhadhamma Tepitaka Dakkhinavibanga sanga 7
ชวนโยมเรียนพระไตรปิฎก
เรื่อง ทักขิณาวิภังคสูตร
(ตอนที่ ๓ ข้อ ๓๘๐)
การให้ทานที่มีผลมากและการให้ทานที่มีผลน้อย
ขอยกคำของพระอรรถกถาจารย์มากล่าว ณ ที่นี้เลย
ตอนสังฆทาน ๗ ประการ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้วจักเป็นอันพระนางได้บูชา
ทั้งอาตมภาพและสงฆ์ เพื่อทรงแสดงว่า ทานที่ให้ในฐานะ ๗ นั้น เป็นอันชื่อว่าถวายสงฆ์ เป็นสังฆทาน
สังฆทาน ๗ ประการ คือ
๑. ถวายทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย(ภิกษุและภิกษุณี)มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
๒. ถวายทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย หลังจากพระตถาคตปรินิพพานแล้ว
๓. ถวายทานในภิกษุสงฆ์
๔. ถวายทานในภิกษุณีสงฆ์
๕. นิมนต์สงฆ์ว่า ขอท่านจงให้ภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้
แก่ข้าพเจ้าเป็นตัวแทนจากสงฆ์ แล้วถวายทาน ๖. นิมนต์สงฆ์ว่า ขอท่านจงให้ภิกษุจำนวนเท่านี้แก่ข้าพเจ้า
เป็นตัวแทนจากสงฆ์ แล้วถวายทาน
๗. นิมนต์สงฆ์ว่า ขอท่านจงให้ภิกษุณีจำนวนเท่านี้แก่ข้าพเจ้าเป็นตัวแทนจากสงฆ์ แล้วถวายทาน
คำว่า สงฆ์นี้ หมายถึง ภิกษุสงฆ์ฝ่ายหนึ่ง ภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายหนึ่ง มีพระศาสดาประทับนั่ง ณ ท่ามกลาง ชื่อว่าสงฆ์ ๒ ฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
บุญที่ได้ถวายแด่สงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนี้ ไม่มีทักขิณาคือบุญอื่นเปรียบเทียบได้ ก็ทักขิณาทั้งหลายมีทักขิณาลำดับที่สองเป็นต้น ย่อมเทียบไม่ได้กับทักขิณาลำดับที่ ๑ เลย
ถามว่า ก็เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว จะถวายทานแด่พระสงฆ์ ๒ ฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขหรือไม่
ตอบว่า ได้
ทำได้อย่างไร
ทำได้ด้วยวิธีตั้งพระพุทธรูปที่มีพระธาตุในฐานะประมุขของสงฆ์ ๒ ฝ่าย แล้วถวายวัตถุทั้งหมดมีทักขิโณทก(และจตุปัจจัยทั้ง ๔)เป็นต้นแด่พระศาสดาก่อน แล้วถวายแด่พระสงฆ์ ๒ ฝ่ายเป็นลำดับต่อมา ทานนี้เป็นอันชื่อว่าถวายสงฆ์ ๒ ฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยประการฉะนี้
ในอนาคตกาล คนเป็นพระภิกษุหรือสมณะเพียงแค่ชื่อ ภิกษุเหล่านั้นพันผ้ากาสาวะผืนหนึ่งที่มือหรือที่คอแล้วใช้ชีวิตเหมือนฆรวาส ท่านเหล่านั้นมีบ้าน ทำงานเหมือนชาวบ้านทั่วไป มีบุตรภริยา ทำการเกษตร ทำธุรกิจการค้าเป็นต้น กลายเป็นปกติของเหล่าภิกษุทุศีลเหล่านั้น
การถวายทานแก่สงฆ์เหล่านั้นด้วยจิตบริสุทธิ์ เคารพในสงฆ์อย่างแรงกล้าเหมือนสงฆ์เหล่านั้นเป็นอริยสงฆ์ ทานที่ถวายแล้วในสงฆ์เหล่านั้น มีผลนับประมาณมิได้ พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า เหมือนทานหรือทักขิณาที่ถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณ ด้วยประการฉะนี้ แม้ทักขิณาที่ให้ในสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอ ตรัสว่ามีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณเหมือนกัน
การถวายทานแก่สงฆ์ย่อมมีเฉพาะแก่บุคคลผู้มีความยำเกรงในสงฆ์ คือนอบน้อมเคารพในสงฆ์เท่านั้นจึงจะทำได้ แต่ความยำเกรงในสงฆ์หรือความเคารพนอบน้อมในสงฆ์ ทำได้ยาก โดยเฉพาะในสงฆ์ที่เรารู้ว่าภิกษุสามเณรนั้นไม่ดีทุศีล
บุคคลใด เตรียมไทยธรรมด้วยคิดว่าเราจักให้ทักขิณาแก่สงฆ์ (จะถวายทานแก่พระสงฆ์) ไปวัดแล้วเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้พระเถระรูปหนึ่งเป็นตัวแทนของสงฆ์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
หากพระสงฆ์จากอารามนั้น จัดสามเณรให้ ผู้นั้นได้สามเณรจากสงฆ์แล้วเสียใจ น้อยใจว่า เราได้สามเณร แล้วถวายทานแก่สามเณรด้วยใจไม่บริสุทธิ์ ทานหรือทักขิณาของบุคคลนั้นย่อมไม่เป็นทานที่ถวายเป็นสงฆ์ คือไม่เป็นสังฆทาน หากผู้นั้นได้พระมหาเถระ ก็เกิดความโสมนัสว่า เราได้มหาเถระแล้ว ดีใจได้ถวายทานแก่พระเถระนั้น ทานคือทักขิณาก็ไม่เป็นอันถวายแล้วแก่สงฆ์เหมือนกัน จิตเขาไม่ผ่องใส ไม่เคารพไม่ยำเกรง ไม่นอบน้อมสามเณร หรือดีใจที่ได้ภิกษุเถระป็นตัวแทนของสงฆ์
ส่วนบุคคลใดได้สามเณรหรือภิกษุเพิ่งอุปสมบท ภิกษุหนุ่มหรือเถระ ผู้พาลหรือบัณฑิต รูปใดรูปหนึ่งจากสงฆ์แล้ว ไม่ตั้งข้อสงสัย ไม่มีเงื่อนไขในจิต มีใจผ่องใส มีความยำเกรง นอบน้อมในสงฆ์ว่า เราจะถวายสงฆ์ ทักขิณาของบุคคลนั้นเป็นอันชื่อว่าถวายสงฆ์ (เป็นสังฆทานแล้ว)
เล่ากันว่า พวกอุบาสกชาวสมุทรฝั่งโน้นกระทำอย่างนี้
ก็ในบรรดาอุบาสกเหล่านั้น คนหนึ่งเป็นเจ้าของวัด เป็นกุฎุมพี ต้องการถวายทานแด่สงฆ์ว่า เราจักถวายทักขิณาแด่สงฆ์ จึงเรียนพระภิกษุในวัดว่า ขอท่านจงให้ภิกษุรูปหนึ่งแก่กระผมด้วยครับ อุบาสกนั้นได้ภิกษุทุศีลรูปหนึ่ง พาท่านไปบ้านของตน ปูอาสนะให้ท่านนั่ง ผูกเพดานเบื้องบน (ตกแต่งห้องฉันให้งาม) บูชาท่านด้วยของหอม ธูป และดอกไม้ ล้างเท้า ทาเท้าท่านด้วยน้ำมัน ได้ถวายไทยธรรมด้วยความยำเกรงในสงฆ์ ดุจทำความนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า
หลังทำบุญแล้ว ต่อมาภิกษุรูปนั้นมาเรือนเขาแล้วกล่าว่า อุบาสกขอยืมจอบท่านหน่อย จะไปใช้ในวัด อุบาสกนั้น นั่งอยู่ ณ ที่นั้น เอาเท้าเขี่ยจอบส่งให้พระทุศีลนั้น พร้อมกล่าวว่า นี่เอาไปสิ
คนทั้งหลายที่อยู่บริเวณนั้น จึงกล่าวกะเขาว่า ท่านได้ทำสักการะแก่ภิกษุนี้แต่เช้าตรู่เทียวด้วยความยำเกรงอย่างยิ่งจนไม่น่าเชื่อถึงศรัทธาของท่าน แต่บัดนี้ ท่านไร้มารยาทมาก นี้มันอะไรกัน
อุบาสกกล่าวว่า แน่ะนาย ข้าพเจ้ามีความเคารพยำเกรงต่อสงฆ์ ไม่ใช่มีความเคารพยำเกรงแก่ภิกษุนี้
ถามว่า ทานคือทักขิณาที่ถวายสงฆ์ ซึ่งมีภิกษุทุศีลมีผ้ากาสาวะพันคอรับนั้น จะเป็นทานบริสุทธิได้อย่างไร
ตอบว่า พระมหาเถระ ๘๐ รูปมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นต้น ย่อมให้ทานบริสุทธิ์หมดจด (ในขณะที่ถวายทานแด่พระสงฆ์นั้น เราน้อมจิตน้อมใจในสงฆ์อันเป็นอริยะนั้น คือสงฆ์ที่เราสวดคุณพระรัตนตรัยนั้นเอง) ดังนั้นทานที่เราถวายสงฆ์แม้มีพระภิกษุทุศีลผู้เป็นตัวแทนสงฆ์นั้น รับจตุปัจจัยของเราก็ตาม ทานของก็บริสุทธิ์มีผลมากนับประมาณมิได้
ถึงแม้ว่า พระเถระทั้งหลายปรินิพพานนานแล้วก็ตาม แต่ขณะถวายทานคือทักขิณานี้ เราก็น้อมรำลึกถึงพระอริยสงฆ์เหล่านั้น แล้วน้อมรำลึกพระขีณาสพทั้งหลายจากอดีตจนถึงทุกวันนี้ ก็ย่อมทำให้ทานของเราบริสุทธิ์หมดจดเหมือนกัน ผลแห่งทานนั้นยิ่งใหญ่นับประมาณไม่ได้เลย
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ แต่ว่า เราไม่กล่าวปาฏิบุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมีอยู่ สงฆ์ปัจจุบันนี้มีอยู่ สงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอในอนาคตก็มีอยู่ สงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไม่พึงนำเข้าไปกับสงฆ์ในปัจจุบันนี้ สงฆ์ในปัจจุบันนี้ก็ไม่พึงนำเข้าไปกับสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอในอนาคต พึงกล่าวตามสมัยนั้นเท่านั้น ก็สมณปุถุชนซึ่งนำไปเฉพาะจากสงฆ์ เป็นปาฏิบุคคลิกโสดาบัน เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ ทานที่ให้ในสมณะผู้ปุถุชน มีผลมากกว่า
แปลประโยคตรงนี้เพื่อความเข้าใจแจ้ง ดังนี้ว่า
“ดูกรอานนท์ ถึงอย่างไร เราก็ไม่กล่าวว่า ปาฏิบุคคลิกทาน(ทานที่ถวายเจาะตามที่ชอบพระ)จะมีผลมากกว่าทักขิณาที่ถวายในสงฆ์เลย ไม่ว่าโดยปริยายใดๆก็ตาม ทั้งสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข สงฆ์ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขในขณะนี้ หรือสงฆ์ที่มีพระภิกษุทุศีลในอนาคต ล้วนเป็นสงฆ์บริสุทธิ์ทั้งนั้น ไม่ว่าสมัยใดก็ตาม ดังนั้น การถวายทานด้วยความยำเกรงเคารพในสงฆ์มีพระปุถุชนเป็นตัวแทนสงฆ์ มีผลมากกว่าปาฏิบุคคลิกทาน แม้มีพระโสดาบันเป็นผู้รับทักขิณานั้น
เจาะจงให้ทักขิณาทานแด่พระโสดาบัน เป็นปาฏิบุคคลิกทาน ถวายทานเป็นปาฏิบุคคลิกในพระสกทาคามี เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน
แท้จริงแล้ว เมื่อบุคคลมีความยำเกรงเคารพนอบน้อมในสงฆ์ ให้ทานแม้ในภิกษุทุศีลซึ่งเป็นตัวแทนจากสงฆ์ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายในพระขีณาสพนั้นแล
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=42
ข้อ ๓๘๐